TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ตั้งเป้าผู้นำตลาด Premium Luxury BEV

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ตั้งเป้าผู้นำตลาด Premium Luxury BEV

เทคโนโลยีถือเป็นกุญแจสำคัญสู่อนาคต สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยุคใหม่ของยานยนต์ไฟฟ้าได้เริ่มขึ้นพร้อมการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 รถยนต์อเนกประสงค์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ตอกย้ำวิสัยทัศน์ด้านยนตรกรรมไฟฟ้าในระดับพรีเมียมของบีเอ็ม

อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปในทางที่เหมือนกับทั่วโลก คือเห็นการเติบโตไปในทาง Exponentially ในทั่วโลก ในประเทศไทยก็เหมือนกัน มีสถิติในการจดทะเบียนรถไฟฟ้ามากขึ้นทุกปี ในมุม ของ BMW Thailand มองว่าจะสามารถเป็นลีดเดอร์ในกลุ่ม Premium Luxury BEV Segment ได้อนาคต

อเล็กซานเดอร์ ขยายความในมุมของ Charge Now ซึ่งเป็น Public Charging Infrastructure ที่มีมาตั้งแต่ปี 2017 ว่าทุกวันนี้มี 123 charger จำนวนหัวจ่าย 123 หัวจ่ายที่ 46 โลเคชันทั่วประเทศ ที่มีทั้ง AC และ DC และมี collaboration กับทาง EGAT

“ตอนนี้กำลังจะมีความร่วมมมือกับทาง EGAT ภายใต้แบรนด์ Elec by EGAT และ partner กับ BMW Charging กำลังจะเปิด 2 สถานีที่หัวหินและเขาใหญ่ ซึ่งเป็น DC ทั้งคู่ ชาร์จสำหรับ BEV โดยเฉพาะ”

สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 ทั้งสองรุ่นนี้ นำเข้ามาแยกกัน iX มาจากโรงงานที่ประเทศเยอรมนี ต่อไปนี้โรงงานที่เยอรมันจะต้องประกอบรถที่เป็น EV อย่างน้อย 1 รุ่น ส่วน iX3 มาจากโรงงานของ BMW ที่ประเทศจีน ปีหน้าก็โฟกัสกับรุ่นที่เป็น BEV มากขึ้นเรื่อย ๆ กับสองรุ่นนี้ด้วย การตลาดเพิ่มเติม รุ่นที่เป็น PH คือ Plug-in Hybrid สัดส่วนการขายอยู่ที่ 30% ซึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ด้วย E-range ของ iX ตอนนี้มันไปถึง 600 กว่า เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าสามารถขับได้ยาวขึ้น และจะกลายเป็นรถเอนกประสงค์ที่สามารถใช้ได้ Day to Day ได้ในอนาคต 

การทำออนไลน์จะเห็น Digital Journey ของลูกค้าทั้งหมด ลูกค้าคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์สนใจสินค้าตัวไหน แม้กระทั่งเขาชอบสีนี้ เห็น Journey ของลูกค้าว่าทำไมเขาชอบคลิกแต่สีนี้หรือบางทีเขาไปที่สีดำจะกลับมาสีแดงใหม่อีกแล้ว Digital มันบอกด้วย AI ด้วย Big Data ที่มี รู้เรื่องของ Journey ในการทำตลาด การตลาดออนไลน์ในอนาคตจะมาในสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ สัดส่วนจะโตขึ้นไปเรื่อย ๆ สำหรับตัว Digital Online Sale 

“ตลาดออนไลน์สำหรับรถยนต์เป็นเรื่องที่คนชินกับมันแล้ว สำหรับ iX และ iX3 ช่องทางออนไลน์ประสบความสำเร็จมาก เพราะอย่างตัว iX เอง ภายใน 6 นาทีหมดกับ 20 คันแรกที่นำเข้ามา ส่วน iX3 เรานำเข้ามาตั้ง 100 คัน เราคิดว่าน่าจะหลายวันกว่าจะหมด ปรากฏว่า แค่ 26 ชั่วโมง วันนิด ๆ ก็หมด กับการ Pre Booking Online เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าตลาดในอนาคต การทำตลาดแบบออนไลน์มันจะมาค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ” 

โชว์รูมและออนไลน์ไปด้วยกัน ตั้งแต่ช่วงที่เป็น Presale – During Sale – Post Sale อย่างไรลูกค้าก็ต้องได้รับการ Service ที่ศูนย์บริการอยู่ เพราะฉะนั้นยังมีความสำคัญในสององค์ประกอบ ลูกค้ายังต้องการฟิลลิ่งการขับ การดมกลิ่นหนัง การจับปุ่มสัมผัส human touch ยังต้องใช้เรื่องของกายภาพอยู่

บีเอ็มดับเบิลยู iX และบีเอ็มดับเบิลยู iX3

อนันตเดช อินทรวิศิษฎ์ ผู้จัดการธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย กล่าวว่า BMW iX เป็นรถที่สร้างขึ้นมาใหม่จาก Concept iX เมื่อหลายปีที่ผ่านมาเคยมี Concept iX จะไม่ใช่รถที่ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับรุ่นอื่น แต่เป็น Fully Newly Develop ถ้าดูขนาดของตัวถังมันจะอยู่เซกเมนต์ก้ำกึ่งระหว่าง X5 ถึง X7 ขนาดความกว้างยาวไซส์ประมาณ X5 แต่ความสูง ความสปอร์ต ความลาดลงของหลังคาจะพอ ๆ กับ X6 ส่วนขนาดหุ้มล้อจะประมาณ X7 เพราะฉะนั้นรถรุ่นนี้จะอยู่ในเซกเมนต์ X5 ถึง X7 พัฒนามาใหม่หมดเป็นรถไฟฟ้า 100% เท่านั้นไม่มีเครื่องยนต์อื่นให้เลือก 

BMW iX เป็นรถที่มีความโดดเด่น มีไฮไลท์ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอก เทคโนโลยีและการออกแบบ เริ่มที่ Exterior Design ก่อน มองที่ IX ส่วนที่จะเห็นเด่นชัดอันดับแรก ได้แก่ kidney grille หลายคนคิดว่าเป็นรถไฟฟ้าแล้วยังต้องคงเอกลักษณ์ของ BMW แต่ว่า BMW นำอันนี้มาออกแบบประยุกต์ใช้เข้ากับ เทคโนโลยีการออกแบบที่เรียกว่า Shy Tech จะมีการใช้  kidney grille เป็นเหมือน radar dome คือ นำเซนเซอร์ กล้องมอนิเตอร์ ต่าง ๆ เรดาร์ต่าง ๆ ซ่อนไว้ใน kidney grille ที่สำคัญมีเทคโนโลยีสารเคลือบผิว สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ เวลาที่มีรอย scratch เล็ก ๆ น้อย ๆ สารเคลือบผิวนี้สามารถจะคืนสภาพเองได้ ในอุณหภูมิห้องปกติภายใน 1 วัน ถ้ามีรอยขูดขีดเล็ก ๆ น้อย ๆ มันสามารถจะ heal ตัวเองได้

การออกแบบไฟหน้าไฟท้าย ไฟหน้ามาพร้อมกับ BMW laser light ทั้งไฟหน้าและไฟท้ายมีการออกแบบให้สลิมที่สุดเท่าที่เคยออกแบบมาในรถ BMW มีความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์

ด้านข้างมาพร้อมกับกระจก frameless design เพื่อเพิ่มความแอโรไดนามิกส์ และตรงมือจับประตูจะเป็นแบบ electric คือเป็นแบบปุ่มกดซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของ BMW และตรงขอบ trim จะเป็นดีไซน์ใหม่ Individual Titanium Bronze Trim เป็นสี Titanium Bronze ให้ความโดดเด่นบนท้องถนน 

ภายในตัวรถ อันดับแรกเมื่อเข้าในรถมามีการนำพวงมาลัยดีไซน์หกเหลี่ยมมาใช้ เพื่อรองรับ Autonomous Driving ในอนาคต เพราะว่าในอนาคตข้างหน้าเมื่อรถสามารถขับขี่อัตโนมัติได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย การที่มีพวงมาลัยรูปแบบหกเหลี่ยมจะทำให้สามารถรู้ได้ว่า ตอนนี้ตำแหน่งพวงมาลัยอยู่ในตำแหน่งไหน 

ถัดมาเป็นส่วน Centre console มีการออกแบบ ด้วยแนวคิดที่เรียกว่า Free-Floating Centre console เหมือนกับลอยอยู่กลางรถ และใช้วัสดุที่เป็นคริสตัล ในการเคลือบปุ่ม iDrive ให้ความหรูหราและมีตัวแผงควบคุม ซึ่งใช้วัสดุเป็นไม้ที่ปลูกจากป่า แบบ sustainable ได้รับการรับรองว่ามีการปลูกแบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รับรองจาก FSC ส่วนของตัวเบาะทำจากหนังที่มีการใช้สารสกัดจากใบมะกอกในการฟอก มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และดีไซน์มีความหรูหรา 

ตรงพรม มีการออกแบบโดยการใช้แนวคิดใช้วัสดุที่เป็นตาข่ายของชาวประมงเอามารีไซเคิลเป็นแนวคิดของการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ในส่วนของ Interior Design รวมถึงตัวโครงสร้างของตัวถัง เป็น carbon fiber reinforce plastic นำมาใช้เพื่อให้โครงสร้างของตัวรถมีน้ำหนักเบา เพิ่มความแอโรไดนามิกส์ ช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

เทคโนโลยี Shy Tech เป็นแนวคิดใหม่ที่นำมาใช้ เป็นการผสานเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันเข้ากับการดีไซน์ของตัวรถ นอกจากนี้มีการนำลำโพงไปซ่อนไว้ในที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหัวหมอนหรือปีกเบาะ รวมถึงกล้องมองหลัง นำไปซ่อนไว้ในโลโก้ BMW ที่อยู่ด้านท้าย รวมถึงน้ำฉีดกระจกจะ integrated อยู่ในโลโก้ BMW ที่อยู่ด้านหน้าของตัวรถ และยังมี Personal Assistant ที่จะปรากฎขึ้นมาเวลาที่มีการสั่งการด้วยเสียงในตัวรถ เหล่านี้มีการนำการออกแบบที่ใช้คำว่า Shy Tech เอามาประยุกต์ใช้ในทุก elements ของเทคโนโลยี 

ต่อไปมาเรื่อง Electric Performance รถ BMW iX xDrive50 มีกำลังสูงสุดถึง 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร  สามารถวิ่งได้ตั้งแต่ 549 – 630 กม. ด้วย WLTP Cycle เพราะแบตเตอรี่เป็นขนาด 111.5 กิโลวัตต์ ตอนนี้ถือว่าเป็นรถไฟฟ้าที่จำหน่ายในประเทศไทย ที่วิ่งได้ไกลที่สุดแล้ว ในปัจจุบัน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 4.6 วินาทีเท่านั้น และความเร็วสูงสุดได้ถึง 200 กม./ช.ม.  

Driving Experience Mode เป็นสิ่งที่เราออกแบบใหม่ BMW iX เรียกว่าเป็น My Mode ปกติรถ BMW จะสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 แบบ Eco, Comfort และ Sport แต่พอเป็น iX มาพร้อมกับ My Mode สามารถเลือกได้ตั้งแต่ Sport Efficient และ Personal ซึ่งจะไม่ได้เป็นการปรับเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ หรือว่าพวงมาลัยเท่านั้น แต่จะมีในส่วนของ Element เกี่ยวกับตัว Lighting and sound เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นถ้าเลือกที่ Sport ตัว Ambience Light ในรถจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม ให้ความรู้สึก Energize แต่ถ้าเลือกโหมด efficient จะมีการเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเหลือง ให้ความรู้สึกสงบ รวมถึงยังทำงานร่วมกับ BMW Iconic Sounds Electric ซึ่งถ้ามีการซื้อ Option นี้ผ่าน BMW Shop จะมีเสียงเครื่องยนต์จำลองที่เข้ากับโหมดการขับขี่เพื่อเลือกด้วย รวมถึงโหมด Personal ซึ่งสามารถปรับตั้งค่าได้ตามความต้องการ

เทคโนโลยีแบตเตอรี่ใช้เทคโนโลยี Gen5 เช่นเดียวกับ BMW iX3 Range ของ iX50 ถ้าชาร์จด้วยกำลังสูงสุด สามารถวิ่งได้ 549 – 630 กม. 

“On board charger ตัวนี้ ถ้าเป็น AC สามารถชาร์จได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ถ้าเป็น DC สามารถชาร์จได้สูงสุด 200 kw ถ้าเราชาร์จด้วยกำลังสูงสุด DC สูงถึง 80% ใช้เวลาเพียง 39 นาที ส่วนถ้าเป็น AC ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 45 นาที ตั้งแต่ 0-100 ซึ่งเราจำหน่ายพร้อมทั้งติดตั้ง Wall Charge ให้ที่บ้าน ซึ่งสามารถตั้งค่าสูงสูด ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ เพราะฉะนั้นลูกค้าทุกคน ที่รับรถไปก็สามารถชาร์จได้ที่บ้าน เพียงชั่วข้ามคืน”

นอกจากนี้ iX ยังมาพร้อม operating system ใหม่ล่าสุด คือ BMW Operating System 8 ซึ่งให้ User Interface และ User experience ที่มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นสามารถใช้งานได้ง่ายและมีความสวยงาม การขับขี่ BMW iX มาพร้อมกับมอเตอร์คู่ คือเป็นการ ขับเคลื่อนแบบ All Wheel Drive ทั้งหน้าและหลัง และมาพร้อมกับ option ที่เป็น Integral Active Steering ระบบบังคับเลี้ยวแบบ 4 ล้อ ช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความยึดเกาะถนนและสามารถเลี้ยวที่ความเร็วต่ำ ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น มี customize operation เหมือน BMW iX3 สามารถเลือกปรับความหน่วงของการขับได้ ถ้าเกิดต้องการขับขี่แบบ one-pedal feeling สามารถเลือกไปที่โหมด B หรือว่าจะตั้งให้เป็นแบบ adaptive  คือปรับความหน่วงตามพฤติกรรมการขับขี่ หรือตามสภาพการจราจร สามารถตั้งได้ถึง 3 แบบก็คือ Adaptive ซึ่งเป็น default  และ  high, medium, low 

iX ยังพร้อมกับ Driving Assistant Professional ระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยการเปลี่ยนเลน ช่วยเบรคอัตโนมัติ รวมถึง Active cruise control with Stop&Go กล้องรอบคันมีมาให้ เรียกว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและช่วยเหลือการขับขี่จัดเต็มมาก ๆ  

“อีกหนึ่งไฮไลท์ของ BMW iX มาพร้อมกับลำโพง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound ที่มีจำนวนถึง 30 ลำโพงด้วยกัน ได้กำลังวัตต์สูงสุดถึง 1615 วัตต์ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนลำโพงที่เยอะที่สุดเท่าที่ BMW เคยมีมา เยอะกว่า X7 หรือ 7 Series ด้วยซ้ำ ทำ 3D Surround Sound ทั้งตัวหัวเบาะพนักพิงศีรษะของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ฝั่งละ 2 ลำโพง สร้างประสบการณ์ในการฟังเพลงระหว่างขับขี่ได้อย่างสุนทรีย์” 

ในส่วน Activity and Digital Service มาพร้อมกับ BMW Operating System 8 รองรับการเชื่อมต่อ BMW Connected Drive Service สามารถควบคุมรถและดูสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ผ่านทาง BMW app รองรับการอัพเกรด remote software over the air มี digital key เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่มีความอัจฉริยมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ option ใหม่ล่าสุด คือ Remote Intra-view สามารถจะดู status ของรถ ดูภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวจาก BMW app ผ่าน  Remote Intra-view ได้ และนั่นคือไฮไลท์ทั้งหมดของ BMW iX

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

นิด้าโพล เผยคนไทยเปิดรับรถยนต์ xEV มากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าระบบไฮบริด

ส่องส่วนลด EV ของไทย และเทรนด์อีวีที่น่าสนใจทั่วโลก

ญี่ปุ่นมั่นใจเศรษฐกิจไทยยืนยันเดินหน้าลงทุนในไทยต่อ ร้องรัฐปรับนโยบายส่งเสริม Less Carbon และอุตสาหกรรม EV

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ไปต่ออย่างไรในยุค EV?

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ