TH | EN
TH | EN
หน้าแรกInterviewCryptocurrency กำลังจะกลายเป็น Common Industry

Cryptocurrency กำลังจะกลายเป็น Common Industry

ปีนี้หลายวงการได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ปรากฎว่าวงการ Cryptocurrency กลับเติบโตรวดเร็ว

ตลาด Financial Asset ทั่วโลกอยู่ที่ 500 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีมูลค่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน ตลาด Cryptocurrency มีมากกว่า 7,000 กว่าเหรียญ (Coins) แต่ตลาด Cryptocurrency ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 0.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ถือว่าเป็นวงการที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานและเป็นวงการที่โตเร็วมาก ๆ 

ในอนาคตวงการ Cryptocurrency จะเป็นวงการที่ใหญ่มาก คนจะสามารถซื้อขายทุกอย่างที่มีมูลค่า ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน เพชร ทอง ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งชื่อเสียงดารา เหมือนที่ซื้อขายหุ้นได้เลย ในอนาคตจะสามารถเปลี่ยนทุกอย่างที่มีมูลค่าให้อยู่ในรูปของ Digital Format ได้

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง Bitkub และ Group CEO บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวกับ The Story Thailand ว่า Bitkub ได้สร้างตลาดหลักทรัพย์ยุคใหม่ที่เรียกว่า Digital Assest Exchange และเป็นผู้นำด้านนี้ในไทยตอนนี้

ตอนนี้คนไทยรู้จักไม่กี่เหรียญอาทิ Bitcoin และ Ethereum แต่ทั้งโลกมีอยู่ 7,000 กว่าเหรียญ ปัจจุบันในไทยมี 6 บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้คนไทยสามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ถูกต้องตามกฎหมาย 

Bitkub ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดได้ประมาณ 95% มีมูลค่าการซื้อขาย 400-700 ล้านบาทต่อวัน เงินเข้าออกบริษัทอยู่ที่ 4,000 กว่าล้านบาทต่อเดือน ตอนนี้ Bitkub เก็บทรัพย์สินของลูกค้าทั้งหมด 5,000 ล้านบาท 

มี 3 บริษัทที่ให้บริการ ICO Portal ซึ่งในยุคที่แล้วต้องใช้ Investment Banking Firm หรือ FA ในการรับประกันใบหุ้น ต้องใช้ TSD ในการเก็บจำนวนการเฟ้อของหุ้น ให้ใบหุ้นมีจำนวนจำกัด ไม่เฟ้อ 

ยุคนี้สามารถไปคุยกับ 3 บริษัทที่ได้ ICO Portal ที่ได้รับ Primary ICO License จากกระทรวงการคลัง ถูกกำกับภายใต้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อที่จะให้การรับประกันเหรียญ ซึ่งเหรียญนี้ถูก Tokenize บนบล็อกเชน หมายความว่าจำกัดจำนวนได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องพึงพาตัวกลางที่เรียกว่า TSD แล้วเหรียญนี้สามารถเป็นตัวแทนของสิ่งที่มีมูลค่าได้ทุกอย่าง (นอกเหนือจากหุ้น)

สิ่งเหล่านี้ คือ อุตสาหกรรมที่มีการเติบโต (Growth Industry) ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นาน 20 ปีที่ผ่านมา คนเปลี่ยนข้อมูลทุกชนิดเป็นดิจิทัล จับต้องไม่ได้ ดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือพิมพ์ เป็นต้น ตอนนี้แทบเป็นดิจิทัลเกือบหมดแล้ว อินเทอร์เน็ตได้ทรานส์ฟอร์มอุตสาหกรรมแรก คือ การใช้ข้อมูลเข้าสู่โลกออนไลน์ทั้งหมด ตอนนี้กำลังเข้าสู่การทรานส์ฟอร์มอีกครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคือ มูลค่า 

“ทุกวันนี้สิ่งที่มีมูลค่ายังต้องจับต้องได้ ตราสารหนี้ ใบหุ้น เงิน แต่อีกไม่นานมูลค่าทุกอย่างสามารถเปลี่ยนให้เป็นดิจิทัลได้ ซึ่งข้อดีคือ สื่อสารกันได้เร็วมาก มีประสิทธิภาพ เป็นยุคที่น่าตื่นเต้นมาก อย่าง Bitkub ปีนี้โต 600% ก่อนโควิด-19 ราวเดือนมกราคม มีพนักงาน 70 คน ตอนนี้มีพนักงาน 180 คน”

การเป็นเจ้าของร่วมกัน (Fractional Ownership) 

คนยุคที่แล้วกำหนดว่าห้อง ๆ หนึ่งเป็นเจ้าของได้คนเดียว ปตท.เป็นเจ้าของได้ทั้งประเทศ เพราะปตท.ใหญ่เกินไปที่จะให้คน ๆ เดียวเป็นเจ้าของได้ จึงต้องสร้างใบหุ้น ทำให้ทุกคนมาเป็นเจ้าของปตท.ร่วมกันได้ ใครมีเงินเท่าไรก็ซื้อหุ้นปตท. เท่านั้น พอเวลาผ่านไป ปตท.เติบโต ราคาของหุ้นก็โตตาม มีเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น แนวคิดนี้ คือ การเป็นเจ้าของร่วมกัน (Fractional Ownership) 

ประยุกต์แนวคิดการเป็นเจ้าของร่วมกัน (Fractional Ownership) กับทรัพย์สินอย่างอื่นที่ไม่ใช่หุ้น เช่น คอนโด ที่ดิน เพชร ทอง ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน และกฎหมายของไทยออกมารองรับแล้ว ทำให้มี 6 บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ถูกต้องตามกฎหมาย

อีกไม่นานจะมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่มากจะ Tokenize อสังหาฯ เพื่อให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ร่วมกันได้แล้วเหมือนที่เป็นเจ้าของใบหุ้นร่วมกัน โดยการซอยความเป็นเจ้าของให้เล็กลง

คอนโดห้องละ 5 ล้าน มี 10 ห้อง มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 50 ล้านบาท บริษัทเจ้าของคอนโดนี้ไปหาบริษัทที่ให้บริการ ICO Portal เพื่อรับประกันการ Tokenize ออกมาเป็น 1 ล้านเหรียญ บนบล็อกเชน มูลค่าเหรียญละ 50 บาท ทำให้คนที่มีเงิน 50 บาทซื้อได้ 1 เหรียญ คนที่มีเงิน 500 บาทก็ซื้อ 10 เหรียญ คนที่มีเงิน 5,000 บาทก็ซื้อ 100 เหรียญ มีเงินเท่าไรก็ซื้อเท่านั้น 

“เมื่อบริษัทนี้ระดมทุนไปได้แล้วทั้งตึก ค่าสร้างตึกอาจจะ 30 ล้านบาท แปลว่า P/BV (Price per Book Value) เท่ากับเหรียญละ 30 บาท สร้างตึกเสร็จปล่อยเช่า หักค่าบริหารจัดการ 2% เหลือ 8% ค่าเช่าก็ปันผลให้กับผู้ถือเหรียญ ใครถือเหรียญเยอะก็ได้เงินปันผลเยอะ ใครถือเหรียญน้อยก็ได้เงินปันผลน้อย คนที่อยากจะออก (Exit) ไม่อยากจะถือต่อแล้ว ก็มาขายที่ Bitkub ได้ สามารถที่จะซื้อขายคอนโดทุกวัน มีคนซื้อคนขายทุกวัน เหมือนกับหุ้น”

อีกไม่นานสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องซื้อกันเอง ที่หาคนซื้อยาก หาคนขายยาก ต้องมีนักกฎหมาย มีงานเอกสารมากมาย สิ่งเหล่านี้จะมาอยู่บนตลาด Digital Asset Exchange ที่มีคนเห็นมากมายมาซื้อมาขายกัน ทำให้ราคาดีขึ้น ลดตัวกลาง ทำให้มีราคาที่เป็นธรรมมากขึ้นสำหรับทุกคน ในอนาคตคนเราจะสามารถซื้อขายทองเหมือนซื้อขายหุ้นได้ ซื้อขายที่ดิน คอนโด เพชร เหมือนที่ซื้อขายหุ้นปตท. แล้วทุกคนก็มาเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยที่ซื้อขายได้ทุกวัน

“เราเป็นตลาดที่เปิด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ฝากและถอนเงินได้ภายในแค่ 3 วินาที แค่กระพริบตาเดียว เงินเข้าออกทุกธนาคารได้ในประเทศไทย ทำไมตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องปิดตอน 4-5 โมงเย็น ทำไมตอนจะฝากเงิน ถอนเงิน ต้อง T บวก 2 วัน ยุคนี้เทคโนโลยีก้าวไปไกลมาก เราสามารถเปิดตลาด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ Bitkub เราไม่เคยปิดเลยตั้งแต่เปิดบริษัทมา” 

ธนาคารแห่งประเทศไทย กับ ดิจิทัลบาท

อีกการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจนมาก คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังจะคิดค้นและออก ดิจิทัลบาท เพื่อที่จะทดลองในเครือ SCG เป็นที่แรก และมีบริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทลูกของ SCB เข้ามาพัฒนาร่วมกัน ทั้งนี้ ต้องรอธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศอย่างเป็นทางการ

ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแผนจะออก ​​Retail Central Bank Digital Currency โดยไม่ไปที่โรงกษาปณ์เอากระดาษเปลี่ยนเป็นเงิน เอาเหล็กเปลี่ยนเป็นเหรียญ​ สามารถใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นและแม่นยำมากขึ้น ลดต้นทุนได้ดีขึ้น ลดการปลอมแปลงของเงินได้ดีขึ้น

“นี่คือ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของโลกการเงินในอนาคต ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ถือว่าอยู่ใน TOP10 ธนาคารแห่งชาติของโลกที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนค่อนข้างเร็ว ซึ่งศึกษามาตั้งแต่ปี 2017”

ประเทศอื่นก็เร็ว อาทิ ประเทศจีน ที่มีดิจิทัลหยวน ออกมาใช้แล้วใน 4 มณฑลหลักของประเทศจีน และเชิญบริษัทใหญ่ ๆ อีก 19 บริษัท อาทิ สตาร์บัคส์ แมคโดนัลด์ WeChat AliPay JD.com เป็นต้น เข้ามาทดลองดิจิทัลหยวน และมีคนสมัครเข้ามาทดลองใช้แล้วประมาณ​ 2 ล้านกว่าคน หนึ่งในมณฑลมีการจ่ายเงินเดือนพนักงานครึ่งหนึ่งเป็นดิจิทัลหยวนเรียบร้อยแล้ว จีนถือเป็นประเทศที่พัฒนาเรื่องนี้เร็วมาก

ฝั่งของอเมริกา Libra มีการจดทะเบียนสมาคมเรียบร้อยแล้ว มีการเลือกซีอีโอเรียบร้อยแล้ว และ ‘เทมาเส็ก โฮลดิงส์’ กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ได้เข้าไปร่วมเป็นสมาชิกรายที่ 100 รายสุดท้ายของสมาคม Libra

“เป็นวงการแห่งโลกในอนาคต เงินทุนไหลเข้ามาในวงการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เม็ดเงินที่เข้ามาในวงการบล็อกเชนมากกว่าตอนที่อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ ที่ VC ลงทุนอีก แบงก์ชาติจะออก ​​Retail Central Bank Digital Currency ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เปิดตัว Digital Assest Exchange เพราะเขามองว่าในอนาคตตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบเราสามารถเทรดเหมือนหุ้นได้เลย”

ปัจจุบัน ตลาด Cryptocurrency มีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ตลาดหุ้นซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โอกาสการเติบโตมีอีกมหาศาล ซึ่ง Bitkub เปิดมาเกือบ 3 ปี มีลูกค้าประมาณ 350,000 ราย 

“เราเห็นเแนวโน้มว่าคนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ย้ายมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้น ในอนาคตจะมีใบอนุญาตใหม่ ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม (Mutual Fund), Private Advisory, Index Fund เป็นต้น ที่ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล”​

ตลาดหลักทรัพย์ฯ​ เริ่มให้ความสำคัญกับโลกใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ โลกใหม่โตในอัตราที่เร็วกว่าโลกเก่ามหาศาล ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจำนวนการเปิดกระเป๋าตังค์ของ Bitcoin Wallet อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบัญชี อีก 10 ปีข้างหน้าจำนวนการเปิดกระเป๋าตังค์ของ Bitcoin Wallet จะขึ้นไปถึง 1,000 ล้านบัญชีทั่วโลก

ในโลกที่มีประชากรทั้งหมด 7.7 พันล้านคน แปลว่า 1 ใน 7 คนจะต้องมี Cryptocurrency Wallet เขาจะใช้มันโดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

ซึ่งจะมีสิ่งที่เรียกว่า การใช้ Cryptocurrency ทางตรงกับทางอ้อม ทางตรงคือ เปิดกระเป๋าตังค์โดยตรงเลย จะมีอีกกลุ่มที่ใช้โดยไม่รู้ตัว 

ล่าสุด มีสินค้าที่เรียกว่า RippleNet Blockchain ที่ให้คนสามารถโอนเงินจากไทยไปอังกฤษได้ภายในแค่ 30 วินาที ค่าธรรมเนียมเหลือแค่ 0.05% เท่านั้น ถูกลง 100 เท่าตัว จาก 2 วันเหลือแค่ 30 วินาที โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่าเขาใช้บล็อกเชนหรือ Cryptocurrency  อยู่ในการโอนเงินข้ามประเทศ 

“เหมือนที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้ Skype หรือ LINE Call โทรไปต่างประเทศ โดยที่ไม่ต้องรู็ว่าข้างหลังบ้าน คือ TCP/IP” 

Cryptocurrency คือ Common Industry

ภายใน 5 ปีข้างหน้า Cryptocurrency จะกลายเป็น Common Industry ไปที่ไหนก็รู้จัก เหมือนที่ทุกวันนี้คนรู้จักคำว่าโซเชียล มีเดีย กันหมดแล้ว อีก 5 ปี เงินจะไม่ใช่กระดาษ เงินจะเป็นดิจิทัล 

ในประเทศจีน Alipay ตั้งปี 2014 ผ่านมาแค่ 6 ปี Alipay กับ WeChat กลายเป็นโซเชียล แบงกิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ทำให้คน 1.5 พันล้านคนไม่ใช้เงินสดภายในเวลาแค่ 6 ปี ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ ในอาเซียนที่มีแค่ 69 ล้านคน 

“คนอาจจะคิดว่าประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ ประเทศจีนเพราะมีประชากร 1.5 พันล้านคน แต่ความจริงประเทศที่ใหญ่ที่สุด คือ ประเทศอินเทอร์เน็ต (Internet Nation) ทั่วโลกมีคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 5 พันล้านคน แปลว่าเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก ๆ ในอนาคต คือ เศรษฐกิจดิจิทัล คนจะใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น การทำกิจกรรมทางธุรกิจจะอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น เพราะฉะนั้น เงินก็ต้องเปลี่ยนเป็นดิจิทัล เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัลในโลกอนาคตเช่นเดียวกัน”

ตลาดหลักทรัพย์ฯ กระตุ้นตลาดสินทรัยพ์ดิจิทัลโต

ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศเปิดตัว Digital Asset Exchange เป็นตลาดที่ 4 (นอกจาก SET, MAI และ “กระดานที่ 3” สำหรับธุรกิจสตาร์ตอัพระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ) เพื่อให้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลทุกชนิด ที่จับมือกับ KBTG ในการพัฒนาเทคโนโลยีให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ 

การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เป็นเหมือนตรายางที่ประทับให้คนทั้งโลกได้ยินว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นแนวโน้มใหม่ของโลกซึ่งจะส่งผลบวกให้นักลงทุนสถาบันที่มีเงินจำนวนมาก เม็ดเงินจะไหลเข้าในวงการนี้จำนวนมาก 

ตอนแรกที่เปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ ใหม่ นักลงทุนสถาบันต่างชาติอยู่ประมาณ 60% ของ Liquidity Volume ทั้งหมดในการซื้อขายหุ้นในประเทศไทย อีก 20% เป็นนักลงทุนสถาบันในไทย และอีก 20% เป็นนักลงทุนรายย่อย (Retail Investor) ผ่านไป 40 ปี ตอนนี้สัดส่วนเปลี่ยนไป นักลงทุนสถาบันต่างชาติเหลือประมาณ 40% นักลงทุนสถาบันในไทยโตมาเป็น 40% นักลงทุนรายย่อย (Retail Investor) สัดส่วนเท่าเดิมที่ 20% 

การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล 0.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ซึ่งคือเงินลงทุนของนักลงทุนรายย่อย (Retail Investor) คือแค่ 20% ถ้าเทียบอัตราส่วนเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์ฯ​ กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล แปลว่าอีก 80% จะเข้ามาในวงการนี้ หรือขอแค่ 1% ของ Global Financial Assest ทั่วโลก 500 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คือ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันอยู่แค่ 0.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แปลว่ายังโตได้เป็นหลาย 1,000% 

ในอดีตโอกาสการเข้าถึงการลงทุนไม่เท่าเทียมกัน ทำให้สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนสถาบันมากถึง 80% นักลงทุนสถาบันได้มากกว่า ได้ก่อน แต่ตอนนี้เมื่อ Tokenize ความเป็นเจ้าของออกเป็น การเป็นเจ้าของร่วมกัน (Fractional Ownership) คือ การทำให้การลงทุนเป็นประชาธิปไตย คนส่วนใหญ่เข้าถึงโอกาสการลงทุนในระดับเดียวกัน เท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งทำอัตราส่วน 80:20 อาจจะเปลี่ยนไป อาจจะเป็น 60:40 ก็เป็นไปได้

อาทิ พันธบัตรรัฐบาล เมื่อก่อนต้องให้ธนาคารพาณิชย์เป็นคนจับจอง ซื้อขายผ่านธนาคารพาณิชย์ Ticket Size เป็น 100 ล้านบาทขึ้นไป แต่ตอนนี้กระทรวงการคลังเปลี่ยนเป็นพันธบัตรดิจิทัล สามารถระดมทุนได้ 200 ล้านบาทภายใน 99 วินาที Ticket Size เริ่มต้นที่ 1 บาท กระทรวงการคลังได้ทำให้การลงทุนเป็นประชาธิปไตยเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้แล้ว 

“ในอนาคตโอกาสจะเข้าถึงทุกคน จะเป็นธรรมมากขึ้น ในอดีต “โอกาส” หรือ Privilege จะเป็นคนส่วนน้อยที่เข้าถึงก่อน คนส่วนมากเข้าไม่ถึง แต่เทคโนโลยีทำให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงโอกาสเดียวกันได้ดีขึ้น อาทิ วงการสื่อสาร เมื่อก่อนคนรวยเท่านั้นสามารถโทรไปต่างประเทศได้ ตอนนี้โทรไปต่างประเทศไม่เสียเงินแถมเห็นหน้าด้วย เทคโนโลยีทำให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น” 

ต่อไปหุ้นจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด จะสามารถ Tokenize มูลค่า ซึ่งการ Tokenization เหมือนการทำ Digitization ข้อมูล

ยุคที่แล้วเปลี่ยนข้อมูลเป็นดิจิทัลเรียก Digitization ยุคนี้เปลี่ยนมูลค่าเป็นดิจิทัล เรียกว่า Tokenization

ในอนาคตสามารถเปลี่ยน “มูลค่า” ของทุกอย่างให้อยู่ในรูปดิจิทัล และซื้อขายแลกเปลี่ยนส่งต่อกันได้เหมือนส่งสติ๊กเกอร์หากัน เงินจะถึงทันที ทุกคนจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในระดับเดียวกัน การเปลี่ยนมูลค่าเปลี่ยนมือ จะมีประสิทธิภาพไม่ต่างอะไรกับการส่งไฟล์งานหากัน จะไปทุกทีทั่วโลก จะถึงทันที ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7 วันไม่ม่วันหยุด จะไม่มีตัวกลาง ต้นทุนจะต่ำลงมาก แทบจะฟรี เป็นสิ่งที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต 

“ประเทศไทยควรมีรูปแบบความคิดที่เปิด ยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เราผิดพลาดมาแล้วในอินเทอร์เน็ตยุคแรก ไปกลัวมันว่าควบคุมข้อมูลไม่ได้ ตั้ง Fire Wall ทำ Intranet เพื่อควบคุมได้ ปรากฎว่า ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีบริษัทเทคโนโลยีของตัวเอง เป็นประเทศผู้ใช้งาน ตอนนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนมา ห้ามกลัวเด็ดขาดไม่เช่นนั้น Facebook of Tomorrow หรือ Google of Tomorrow จะไปเกิดที่ต่างประเทศอีก แล้วคนไทยจะเป็นแค่คนใช้เทคโนโยลีตามเดิม ถ้าประเทศไทยมีรูปแบบความคิดที่ถูก และลงมือทำทันที อาจจะสร้าง GDP ให้ประเทศได้มหาศาล” 

Literacy 

อย่างไรก็ดี เรื่องความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่น่ากังกวลอย่างหนึ่ง เพราะอยู่ในยุคที่โลกขยับเขยื้อนเร็วมาก ความรู้ความเข้าใจ ชุดทักษะ (Skill Set) ปรับกันไม่ทัน คนส่วนใหญ่ยังยึดอยู่กับความสำเร็จเดิม ๆ ยังใช้เวลาอยู่ในโลกเก่า ทั้ง ๆ ที่ยุคปัจจุบัน เรียกว่า Internet Century สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปมหาศาล สมมติฐานการทำธุรกิจเปลี่ยนไปจากเดิมหมดแล้ว 

เพราะฉะนั้น ห้ามยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ แล้ว ต้องเข้าใจสมมติฐานใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ที่เปลี่ยนไป แล้วต้องรีบมีรูปแบบความคิด (Mind Set) ที่ยอมรับความจริง กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และเข้ามาศึกษา 

ตอนนี้มีอุตสาหกรรมไหนไม่โดนดิสรัป ไม่มี ความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคต เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ยุคนี้ ทุกคนต้องศึกษา เรียนรู้สิ่งใหม่ เข้าใจสมมติฐานใหม่ ๆ ปรับตัวให้ทัน ต้อง Reskill และ Upskill พนักงานในบริษัท หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปต้องเข้าใจและมีความสามารถใหม่ว่า มือถือคือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ 

“มือถือจะเป็นอะไรได้หลายอย่างรอบตัว เป็นกระเป๋าตังค์ได้ หมายความว่า ความเสี่ยงของภัยไซเบอร์ก็จะมากขึ้น ถ้าเก็บมูลค่าไว้ในโลกออนไลน์ จะต้องมีพฤติกรรรมอย่างไรเพื่อป้องกันให้ทรัพย์สินปลอดภัย ไม่ถูกคนอื่นมาหลอก เป็นต้น”​

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ