TH | EN
TH | EN
หน้าแรกLifeจาก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สู่ หุบเขาพระจันทร์

จาก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สู่ หุบเขาพระจันทร์

ย้อนกลับไป เมาท์เนโบ (Mt.Nebo) กันดีกว่า เป็นสถานที่แห่งแรกของการท่องเที่ยวทริปนี้ เนื่องจากอากาศเย็นสบายจึงเดินกันได้แบบไม่เหนื่อยเลย

เมาท์เนโบ เป็นจุดหมายยอดนิยมของคริสเตียนและมุสลิม รวมถึงผู้สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สถานที่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์แดน และมองข้ามฝั่งไปชมทิวทัศน์ดินแดนแห่งพันธะสัญญาในกรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล

เมาท์เนโบ อยู่ที่จังหวัดมาดาบา (Madaba) เป็นเมืองแห่งเรื่องราวของโมเสส (Moses) ศาสดาพยากรณ์ ผู้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ศาสนายูดา คริสต์ และอิสลาม ณ ยอดเขาเนโบแห่งนี้คือดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่า เป็นสถานที่สุดท้ายของโมเสสในการปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นทาสของอียิปต์ ตั้งมั่นพาชาวยิวกลับสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าจะมอบให้ชาวยิวซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอลนั่นเอง

สถานที่แห่งนี้นำเราไปพบกับก้อนหินสลักใบหน้าบุคคลสำคัญทางศาสนาคริสต์และศาสนายิว ขนาดสูงประมาณ 3 เมตร ที่ระลึกแห่งการเสด็จมาเยือนของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่ 2 เมื่อปี 2000 รวมถึงต้นมะกอกที่ทรงปลูก

ที่นี่เราจะได้ชมโบสถ์ที่ได้รับการบูรณะใหม่จากฐานโบสถ์เดิมที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 และบ่งชี้จุดที่คาดว่าโมเสสเสียชีวิต ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณธ์ขนาดย่อม เก็บสิ่งของที่ขุดพบ ภาพโมเสกขนาดใหญ่ซึ่งเป็นหินหลายสีก้อนเล็กๆ มาเรียงต่อเป็นภาพ โดยสร้างขึ้นพร้อมตัวโบสถ์เก่า มีลวดลายวิจิตรบอกเล่าเรื่องราวศาสนาคริสต์ และชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นยุคกว่าพันปีมาแล้ว

อีกจุดหนึ่งที่ทุกคนต้องไปยืนถ่ายรูปคือ บริเวณ Brazen Serpent ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งโมเสสมีงูพันอยู่รอบๆ ที่ศิลปินชาวอิตาลีออกแบบเพื่ออุทิศเป็นสัญลักษณ์ของโมเสสและพระเยซู 

สุดท้ายต้องไม่พลาด จุดชมวิว ที่มองเห็นทิวทัศน์สุดสายตา หากในวันฟ้าเปิดจะมองไกลไปเห็นกรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล ซึ่งระหว่างทางขึ้นเขาคุณไกด์ของทุกคณะจะชี้เป้าให้ชมเส้นทางการอพยพทาสชาวยิวภายใต้การนำของโมเสส แถมยังมีจุดที่มองเห็นทะเลสาบเดดซี เมือง Jericho เขตเวสต์แบงก์ได้ด้วย

หมดครึ่งวันสบายๆ ก่อนเดินทางต่อไปเข้าที่พัก ณ เพตรา เตรียมตัวตื่นตาตื่นใจกับนครศิลาสีกุหลาบ (แต่เรื่องนี้นำมาเล่าไปก่อนแล้ว)

ฉะนั้น ข้ามไปตะลุยทะเลทรายกันนะ

ตะลุยหุบเขาพระจันทร์

ทะเลทรายวาดิรัมจุดหมายแห่งต่อไปของเรา มีอีกชื่อหนึ่งว่า หุบเขาแห่งพระจันทร์ หรือ The Valley of The Moon ได้ยินชื่อแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมดินแดนทะเลทรายที่แห้งแล้ง ชอบทำให้คนมีจินตนาการบรรเจิด ตั้งชื่อให้ฟังแล้วโรแมนติก นอกจากวาดิรัมแล้ว เราคงเคยได้ยินชื่อเสียงของเยว่หยาเฉวียน หรือทะเลสาบจันทร์เสี้ยว แห่งทะเลทรายโกบี เมืองตุนหวง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนกันมาบ้าง แต่ละแห่งกลายเป็นต้นทุนของนักเขียนนิยาย ผู้สร้างภาพยนตร์ หรือทีวีซีรีส์อยู่เรื่อยๆ

เรามาพูดกันถึงวาดิรัมกันต่อดีกว่า

วาดิรัมเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ และเป็นทะเลทรายที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย ที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีมนุษย์อาศัยอยู่มาตั้งแต่ 1 หมื่นปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล ตรงกับยุคหินใหม่ ที่มนุษย์เริ่มเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ตั้งชุมชนเป็นหลักแหล่งกันแล้ว และเป็นยุคที่พบภาพเขียนสีซึ่งในทะเลทรายวาดิรัมก็มีเช่นกัน

ทะเลทรายขนาดใหญ่กว่า 720 ตารางกิโลเมตร และภูเขาหินทรายรูปร่างต่างๆ ช่างดึงดูดใจให้เที่ยวชม และกลายเป็นฉากจำลองพื้นผิวดาวอังคาร หรือดาวดวงอื่นที่ปรากฏในภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง ส่วนบรรดานักท่องเที่ยวอย่างเราตะลุยทะเลทรายด้วยโฟร์วีล แวะเยี่ยมกระท่อมเบดูอินที่ทอจากผ้าขนสัตว์ภายในอุ่นสบาย ได้ชิมชา เลือกซื้อของที่ระลึกกันเป็นระยะๆ สลับแวะถ่ายรูปตามจุดน่าสนใจต่างๆ รวมทั้งภาพเขียนสีแสดงวิถีชีวิต การเดินทาง การค้าของคนในอดีต

หลายๆ จุดระหว่างทางจะได้พบเต้นท์ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศกลางทะเลทรายอย่างใกล้ชิดเป็นระยะๆ และยังมีที่พักที่กำลังสร้างใหม่อีกหลายแห่ง แต่กลุ่มเราคนมากไม่ได้พักที่นี่ แต่เข้าอะกาบา ไปนอนโรงแรม Kempinski Red Sea Aqaba กัน

ลอยคอในเดดซี

พี่กต-เดดซี

วันรุ่งขึ้นเดินทางต่อไปโรงแรม Kempinski Dead Sea ที่นี่อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของคนว่ายน้ำไม่เป็นได้เป็นจริง คือการลอยตัวในน้ำนั่นเอง แถมด้วยพอกโคลน ขัดเกลือ ทำผิวลื่นในพริบตา

คำแนะนำคือ ใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดน้อยที่สุด จะได้พอกโคลน ขัดผิวได้เต็มที่ แต่ไม่ควรใส่เสื้อผ้าหรือชุดว่ายน้ำที่ใหม่เกินไป เพราะความเค็มเหนือใครจะทำปฏิกิริยาต่อเสื้อผ้าให้โทรมไว ยางยืดเสื่อมสภาพง่าย

สวยพอแล้ว ย้อนกลับไปเมืองโบราณอีกแห่งดีกว่า

เมืองโบราณเจอราช

เมืองพันเสา-เจอราช

เมืองเจอราช (Jerash) เมืองโบราณตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงอัมมาน เป็นเมืองที่มีสิ่งปลูกสร้างแบบโรมันสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งนอกอิตาลี อีกชื่อของเมืองนี้คือ เมืองพันเสา เพราะเพียงย่างเท้าเข้าไปก็จะได้พบเสาโรมันตั้งบ้าง กองบ้างเต็มไปหมด

จักรวรรดิโรมันเข้ายึดครองพื้นที่แห่งนี้ รวมถึงเพตราเมื่อปี 106 ยุคนั้นเรียกว่า Gerasa เป็น 1 ใน 10 หัวเมืองสำคัญฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิโรมัน

จุดแรกที่ไปชมคือ ประตูเฮเดรียน (The Arch of Hadrian) สูงกว่า 11 เมตร สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการเสด็จมาเมืองเจอราชช่วงปี 129-130 ของจักรพรรดิเฮเดรียน จากนั้นไปต่อที่ลานแข่งรถม้าประจำเมือง (Hippodrome) ขนาดความยาวกว่า 245 เมตร กว้าง 52 เมตร บรรจุผู้ชม 15,000 คน และใช้เป็นที่จัดการแข่งขันของเหล่า Gladiator

ไปต่อที่ประตูทิศใต้ (South Gate) จากนั้นจะได้พบลานอเนกประสงค์รูปไข่ (Oval Plaza) ตรงกลางปูพื้นด้วยหินขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยเสาคอรินเทียน (Corinthian order) เป็นสถานที่พบปะพูดคุย หรือบางครั้งเปิดให้ตั้งร้านค้า ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อสถานที่สำคัญอื่นๆ ของเมืองเจอราช เช่น ทางเดินเชื่อมไปวิหารเทพซูส (Zeus) เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า สายฟ้า ฟ้าผ่า กฎหมาย ความสงบเรียบร้อย ความยุติธรรม ผู้เป็นบิดาแห่งเทพและมนุษย์ หรือจะไปสู่อัฒจันทร์ทิศใต้ (South Theater) ที่จุผู้ชม 3,000 คน สร้างขึ้นช่วงปี 92-93

หากมีเวลามากกว่านี้ คงได้ชมสถานที่น่าสนใจอีกมากมายในเจอราช เมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ประมาณ 600 – 700 ปี กระทั่งเผชิญความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่จากแผ่นดินไหวเมื่อปี 749 จึงไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก เหลือเพียงซากความรุ่งเรืองให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

ปัจจุบันรอบนอกเมืองโบราณแห่งนี้มีบ้านเรือนประชากรยุคใหม่อาศัยอยู่หลายหมื่นคน

ท่องจอร์แดน 7-8 วันด้วยความประทับใจ และรับรู้ว่า ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เสมอ มนุษย์พัฒนาก้าวล้ำไปข้างหน้าเพียงใด แต่สุดท้ายยังไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้เบ็ดเสร็จ

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

บุก ‘คลังสมบัติฟาโรห์’ หลบภัยน้ำป่าถล่ม ‘นครเพตรา’

มนตร์เสน่ห์ ทะเลทราย [จอร์แดนซีรีส์]

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ