ในทุกยุค การเป็นหมอ คือ ความใฝ่ฝันของเด็กในทุกประเทศ แต่มีน้อยคนที่จะได้เป็นเพราะมีเงื่อนไขมากมาย แต่ทำไมบางคนพอได้เป็นแล้ว ถึงหันหลังให้อาชีพนี้และไปทำงานอย่างอื่นแทน
คำตอบมีอยู่ในหนังสือชื่อ ‘This is Going to Hurt’ ของ Adam Kay ผู้แต่งเป็นสูติแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐที่ผ่านความยากลำบากที่เขารู้ว่าหมอทุกคนต้องเจอก่อนจะได้เป็นแพทย์อาวุโส
หนังสือได้รับรางวัล หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี เมื่อปี 2018 มีคำชื่นชมมากมาย เพราะทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมหมอที่เราเจอบางคนก็น่ารัก บางคนก็อารมณ์บูด ทุกวันหมอต้องทำงานหนักแทบไม่มีเวลานอน และยังต้องตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายตลอดเวลา แลกกับเงินเดือนจากรพ.รัฐ ที่ไม่ได้มากมาย และพวกเขายังมีชีวิตส่วนตัวที่แทบจะไม่ได้ใช้
Kay เอาไดอารีบางส่วนของเขาที่เขียนตั้งแต่เขาเรียนจบใหม่ ๆ มาลงว่าเขาเจออะไรบ้างในแต่ละวัน บางวันก็ตลก เพราะพูดถึงเรื่องบ้าบอที่คนทำกับอวัยวะเพศตัวเอง คนที่อยากมีลูกมากจนทำอะไรแปลก ๆ และพฤติกรรมประหลาดอื่น ๆ ที่ทำให้คนอ่านหัวเราะได้ เช่น เพื่อนที่มาขอคำปรึกษาเรื่องมีลูก มาพร้อมกับแฟ้มที่จดรายละเอียดรอบเดือน การมีเซ็กส์ ระยะเวลาในการหลับนอน และใครอยู่บนอยู่ล่าง มีคนไข้ที่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอดอย่างรุนแรงจนต้องแจ้งแผนกจิตเวช แต่หมอไม่รับ จนคนไข้คนนั้นลงไปร้านกาแฟข้างล่างตึก แก้ผ้า และร้องเพลง จนร้านต้องแจ้งตำรวจ บางวันก็เศร้าเพราะมีเรื่องคนไข้ที่เสียชีวิต ภาระงาน ชีวิตครอบครัวที่ขาดหายไป
ในหนังสือ Kay เล่าถึงความภูมิใจในงานที่ทำ หลัก ๆ คือ ได้ช่วยแม่ ๆ ให้คลอดลูกอย่างปลอดภัยและเด็กไม่ตาย และได้ช่วยคนมีลูกยากให้สามารถมีลูกได้ แต่อีกทาง เขาคาดหวังบัตรเชิญไปงานแต่งงานเพื่อน ทั้งที่ก็รู้ว่าสุดท้ายก็คงไม่ได้ไปร่วมงาน
มีอยู่ครั้งที่เขาได้ลาพักร้อน 2 อาทิตย์ แต่ไปได้ไม่กี่วันก็ถูกเรียกกลับ เพราะเขาหาหมอมาทำงานแทนไม่ได้ Kay ใช้เวลาเรียน 6 ปี และเป็นหมอเต็มตัวอยู่ 6 ปี ก่อนตัดสินใจลาออก เพราะรู้สึกว่างานมันหนักไปสำหรับเขา
ช่วงที่เขาเดินสายทัวร์โปรโมทหนังสือ เขาถามคนมาฟังว่ามีใครในครอบครัวที่ทำงานในรพ.รึเปล่า ถ้ามีพอพวกเขากลับบ้าน ช่วยถามเขาหน่อยนะว่าวันนี้เป็นไงบ้าง เพื่อให้พวกเขาได้ปลดปล่อยความรู้สึกหนักอึ้งที่ติดมาจากโรงพยาบาล Kay ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่หมอ
แต่จุดพลิกผัน คือ วันที่เขาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเวร และมีคนไข้เสียชีวิตในการคลอดเนื่องจากเสียเลือดมาก เขารู้สึกกดดันจนรับไม่ไหว แม้ว่าเขาและทุกคนจะรู้ว่าได้ช่วยคนไข้ทุกวิถีทางแล้ว เขาตัดสินใจลาออกในอีกหลายเดือนต่อมา
เป็นหนังสือที่มีเรื่องเศร้ามากมายที่หมอทุกคนต้องเจอ แต่ไม่ค่อยมีคนพูดกัน แต่เรื่องเศร้าได้ถูกบดบังด้วยสไตล์การเขียนแบบยียวน กวนประสาท ผสมกับศัพท์แพทย์ที่มีมากมาย จนเรื่องเศร้ากลายเป็นแค่ความจริงในชีวิต ที่เราต้องยอมรับและเข้าใจว่า “หมอก็คือปุถุชนคนหนึ่ง”