Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

ปตท. และ กัลฟ์ เผยกลยุทธ์ขับเคลื่อนไทยสู่ Net Zero ต้องทำอะไรต่อ?

ในวันที่โลกได้ก้าวข้ามจุดที่อุณหภูมิสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว และภัยพิบัติทางธรรมชาติกลายเป็นความจริงที่ใกล้ตัวกว่าที่เคย “Climate Tech” หรือ เทคโนโลยีด้านสภาพอากาศ ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็น 1 ใน 4 เสาหลักของเทคโนโลยีแห่งอนาคต เคียงคู่กับ AI, Robotics และ Biotech ทว่าการนำเทคโนโลยีความหวังนี้มาปรับใช้เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero นั้น ซับซ้อนกว่าแค่การลงทุนในนวัตกรรม 

ภูมิทัศน์ Climate Tech โลก: เมื่อราคาและความจริงทางเศรษฐกิจคือตัวชี้ขาด

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ชี้ว่าเป้าหมายหลักของ Climate Tech คือการลดอุณหภูมิโลกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยภาคพลังงานซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบ 70% คือจุดคานงัดที่สำคัญที่สุด การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคการขนส่ง (Mobility), ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเท

อย่างไรก็ตาม สมิทธ์ พนมยงค์ Senior Executive Vice President บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)ได้ให้มุมมองที่ปลุกให้ตื่นจากฝันว่าเทรนด์ที่อาจส่งผลกระทบมากที่สุดในปี 2025 คือปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น หากผู้นำสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาและถอนตัวจากความร่วมมือด้านโลกร้อนอีกครั้ง เม็ดเงินลงทุนมหาศาลในนวัตกรรมอาจหายไปในพริบตา

แต่ปัจจัยที่ทรงพลังเหนือสิ่งอื่นใดในปัจจุบันคือราคา สมิทธ์ย้ำอย่างตรงไปตรงมาว่า “คนส่วนใหญ่รักกระเป๋าเงินของตัวเองมากกว่าสิ่งแวดล้อม” เทคโนโลยีจะเกิดการยอมรับในวงกว้างได้ก็ต่อเมื่อมันสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ พลังงานแสงอาทิตย์ จากในอดีตที่การลงทุน 1 เมกะวัตต์ใช้เงินกว่า 100 ล้านบาท และได้ค่าไฟถึง 11 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันต้นทุนลดลงเหลือไม่ถึง 20 ล้านบาท และผลิตไฟฟ้าได้ในราคาเพียง 2 บาทต่อหน่วย ทำให้การติดตั้งโซลาร์บนหลังคาเพื่อใช้เองนั้นถูกกว่าซื้อไฟจากการไฟฟ้า

ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) คนรีบเปลี่ยนมาใช้ EV ไม่ใช่แค่เพราะรักสิ่งแวดล้อม แต่เพราะค่าใช้จ่ายในการวิ่งลดลงจากกิโลเมตรละประมาณ 2 บาท (รถน้ำมัน) เหลือไม่ถึง 50 สตางค์

กลยุทธ์ในสมรภูมิพลังงาน: แนวทางที่แตกต่างของ ปตท. และ กัลฟ์

แม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ทั้งสององค์กรเลือกใช้กลยุทธ์ที่สะท้อนถึงจุดแข็งและปรัชญาของตนเอง ปตท. เลือกแนวทางพัฒนาครบวงจรเพื่อสร้างความมั่นคงโดยลงลึกในทุกมิติของห่วงโซ่พลังงาน ตั้งแต่เทคโนโลยีที่สุกงอมไปจนถึงการวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งโซลาร์บนสถานีบริการ การลงทุนในโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ในอินเดียเพื่อแก้ปัญหาต้นทุนที่ดิน การศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) มาใช้ให้พลังงานที่เสถียรในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และการวิจัยเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้อัดกลับลงไปในหลุมก๊าซเดิมหรือโพรงน้ำเกลือใต้ดิน ควบคู่ไปกับการพัฒนาเชื้อเพลิงอนาคตอย่างไฮโดรเจนและเมทานอล

กัลฟ์ ใช้กลยุทธ์ลงทุนอย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างความได้เปรียบโดยเน้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจน ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมของไทยคมเพื่อประเมินคาร์บอนเครดิต ซึ่งพลิกโฉมวงการด้วยการลดต้นทุนการประเมินจากที่เคยต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างชาติในราคาหลักล้านบาท (20,000-30,000 เหรียญ) ลงมาเหลือในระดับที่น้อยกว่ามาก ทำให้โครงการขนาดเล็กสามารถเข้าถึงตลาดคาร์บอนได้ 

นอกจากนี้ แทนที่จะเสี่ยงกับการทำ R&D ด้วยตนเองซึ่งอาจล้มเหลวและกระทบต่อผลกำไร กัลฟ์เลือกลงทุนผ่านกองทุน Climate Tech ในต่างประเทศอย่าง Lightrock ซึ่งให้ผลตอบแทนราว 10-20% และยังได้ความรู้มือสองจากการเห็นเทรนด์นวัตกรรมทั่วโลกโดยไม่ต้องรับความเสี่ยงเอง

ความท้าทายของประเทศไทย: เมื่อเทคโนโลยีไปไกล แต่ความเข้าใจยังตามไม่ทัน

การเดินทางสู่พลังงานสะอาดยังเต็มไปด้วยอุปสรรคสำคัญที่เทคโนโลยีอย่างเดียวแก้ไม่ได้ ได้แก่ ความเปราะบางของระบบไฟฟ้า (Grid Stability) สมิทธ์ยกตัวอย่างที่น่ากลัวจากต่างประเทศ ทั้งเหตุการณ์ไฟดับเกือบทั้งวันที่ภาคใต้ของสเปนและลามไปถึงฝรั่งเศส และความผันผวนของค่าความพร้อมจ่ายในชิคาโกที่พุ่งขึ้นถึง 10 เท่า (จาก 20 เป็น 200 US Cents) ภายในปีเดียว เหตุการณ์เหล่านี้คือคำเตือนว่าหากนำพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากเกินไปโดยไม่มีโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่แข็งแกร่งพอรองรับ ผลลัพธ์อาจเป็นหายนะ

ดร.บูรณิน กล่าวถึงหลักการของ World Economic Forum ที่ว่านโยบายพลังงานที่ดีต้องสมดุลกัน 3 ด้าน คือ ความมั่นคง (Security) ความเท่าเทียม (Equity) และ ความยั่งยืน (Sustainability) แต่บ่อยครั้งที่สังคมถูกชี้นำด้วยข้อมูลเพียงด้านเดียว สมิทธ์ กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมพลังงานมักตกเป็นจำเลยของสังคม โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนก่อนการเลือกตั้งที่ค่าไฟดูเหมือนจะแพงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการใช้งานที่เพิ่มขึ้น แต่กลับถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมือง

สมิทธ์ ชี้ว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่คนไทยส่งลูกไปเรียน ต่างก็มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กเพื่อการวิจัยตั้งอยู่ แต่ในไทยกลับเต็มไปด้วยความกลัว สิ่งนี้สะท้อนถึงช่องว่างทางความรู้ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อการนำเทคโนโลยีที่มีศักยภาพมาใช้

เมื่อมองไปข้างหน้า ข้อเสนอแนะจากทั้งสองไม่ได้มุ่งไปที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญกว่านั้น ดร.บูรณินเรียกร้องให้คนไทยเริ่มต้นง่าย ๆ ที่การประหยัดพลังงานและเรียกร้องให้ภาครัฐต้องปฏิรูปกฎเกณฑ์และทำงานร่วมกันข้ามกระทรวงเพื่อสร้าง Ecosystem ที่เอื้ออำนวย พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีป้องกันภัยพิบัติซึ่งเป็นอีกด้านของ Climate Tech ที่ต้องเตรียมรับมือ

อนาคตพลังงานของไทยอยู่ในมือของภาคประชาสังคม สมิทธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ต่อให้โครงการถูกบรรจุในแผนของรัฐหรือมีสัญญาแล้ว แต่หากประชาชนไม่ยอมรับผ่านกระบวนการ EIA หรือการประท้วง โครงการนั้นก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องครบ 360 องศาให้กับสังคมจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นภารกิจเร่งด่วนและสำคัญที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยสามารถตัดสินใจเลือกอนาคตด้านพลังงานของตนเองบนฐานของข้อมูลความจริง ไม่ใช่ความเชื่อหรือวาทกรรมทางการเมือง และก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง

×

Share

ผู้เขียน