การจัดตั้ง “คณะกรรมการปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ” (National AI Board) นับเป็นก้าวสำคัญยิ่ง ท่ามกลางกระแส AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก บอร์ดชุดนี้จึงเปรียบเสมือนหางเสือที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของไทย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ข้อเสนอแนะจากสองผู้เชี่ยวชาญแถวหน้า ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค เทคโนโลยี และการวิเคราะห์อนาคต (Futurist) โดยเฉพาะในบริบทของเอเชียและเศรษฐกิจดิจิทัล และ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัย นักเทคโนโลยี และนักสร้างสรรค์นวัตกรรมรุ่นใหม่ ที่ MIT Media Lab มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT) ได้สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นสำคัญที่บอร์ด AI ต้องขบคิดและตัดสินใจ แม้จะมีจุดเน้นต่างกัน แต่กลับชี้ไปยังโจทย์ใหญ่เดียวกันที่ประเทศไทยต้องหาคำตอบ
โจทย์ใหญ่ข้อแรกที่บอร์ด AI ต้องเผชิญ คือ การกำหนด “วิสัยทัศน์และเป้าหมายสูงสุด” ของยุทธศาสตร์ AI ไทย ดร.สันติธาร เสนอภาพอนาคตที่ท้าทายให้ไทยก้าวสู่ชาติผู้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ AI (AI Contributor Nation) ซึ่งเป็นการมอง AI ผ่านเลนส์ของการแข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเน้นการสร้างขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรม วิจัยพัฒนา และส่งออกเทคโนโลยี AI เพื่อชิงความได้เปรียบในเวทีโลก ในขณะที่ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI และรากฐานทางจริยธรรม โดยมองว่า AI ควรเข้ามาเสริมสร้างศักยภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์เป็นสำคัญ การบูรณาการเข้ากับสังคมอย่างมีความรับผิดชอบและสอดคล้องกับคุณค่าของไทยจึงเป็นหัวใจหลัก มากกว่าการมุ่งแข่งขันทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว บอร์ด AI จึงต้องตัดสินใจว่าจะให้น้ำหนักกับเป้าหมายใด หรือจะหาจุดสมดุลระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกับการสร้างสังคม AI ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางได้อย่างไร
ประเด็นถัดมาคือ “แนวทางการกำกับดูแล” ซึ่งสะท้อนความสมดุลระหว่างความเร็วกับความรอบคอบ ดร.สันติธาร เน้นย้ำความจำเป็นในการเคลื่อนที่เร็ว (Move Fast) โดยเสนอให้สร้างกรอบกติกาที่คล่องตัวและเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม เช่น การใช้มาตรการจูงใจทางภาษี พื้นที่ทดสอบนวัตกรรม (Regulatory Sandbox) และการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Data) เพื่อเร่งให้เกิดการนำ AI ไปใช้และแข่งขันได้ทันท่วงที ขณะที่ดร.พัทน์ ให้ความสำคัญสูงสุดกับกรอบจริยธรรมและบริบทท้องถิ่น โดยเตือนไม่ให้ลอกเลียนแบบตะวันตก และเสนอแนวคิดจริยธรรมโดยการออกแบบ (Ethics by Design) ที่ต้องฝังอยู่ในทุกขั้นตอน และมองว่าความรอบคอบและการพิจารณาผลกระทบทางสังคมต้องมาก่อนความเร็ว เพื่อป้องกันปัญหา เช่น อคติใน AI ที่อาจเกิดขึ้นได้แม้จากปัจจัยที่ไม่คาดคิดอย่างนามสกุล ดังตัวอย่างงานวิจัยที่ท่านร่วมทำเกี่ยวกับอคติต่อนามสกุลในไทย บอร์ด AI จึงมีโจทย์ว่าจะออกแบบการกำกับดูแลอย่างไรให้สมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมให้เร็วพอกับการสร้างความมั่นใจว่า AI ถูกพัฒนาและใช้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรมในบริบทไทย
โจทย์สำคัญอีกข้อคือ “การเลือกสนามและขอบเขตการประยุกต์ใช้ AI” ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัด ดร.สันติธาร แนะให้เลือกผู้ชนะ (Pick the Winners) โดยมุ่งเน้นการลงทุนและพัฒนา AI ในภาคส่วนที่ไทยมีศักยภาพหรือมีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น การท่องเที่ยว การเกษตร หรือการดูแลสุขภาพ เพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนและรวดเร็ว ในขณะที่ดร.พัทน์ สนับสนุนให้มองเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ที่หลากหลายมากกว่าแค่ภาคเศรษฐกิจ โดยสำรวจศักยภาพ AI ในมิติทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การใช้ AI กับศิลปะ ดังโครงการ “Cyber Subin” ที่ท่านร่วมกับ อ.พิเชษฐ์ กลั่นชื่น หรือการศึกษาและการแก้ปัญหาสังคม เพื่อสร้างคุณค่าที่กว้างขวางและส่งเสริมการยอมรับจากสาธารณะ บอร์ด AI จึงต้องพิจารณาว่าจะใช้แนวทาง “พอร์ตโฟลิโอ” หรือไม่ คือ มุ่งเน้นภาคเศรษฐกิจหลักเพื่อสร้างการเติบโต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้งานในวงกว้างเพื่อประโยชน์ทางสังคมและสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
–ดีป้าเปิดงาน Thailand Digital IP Forum 2025 เร่งเครื่องเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย AI
ประเด็นสุดท้ายที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในหลักการแต่ต่างกันในรายละเอียดคือ “การพัฒนาคน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทุกยุทธศาสตร์ ดร.สันติธาร ใช้คำว่า “สร้างกองทัพ” (Build the Army) หมายถึงบุคลากร AI จำนวนมากที่มีทักษะเฉพาะทางหลากหลาย ทั้งนักวิจัย วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการเป็น “ผู้ร่วมสร้างสรรค์ AI” ในทางกลับกันดร.พัทน์ เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI (Human-AI Collaboration) และการเสริมศักยภาพ ท่านมองว่าการพัฒนาคนไม่ควรจำกัดแค่การสร้างผู้เชี่ยวชาญ แต่ต้องเตรียมแรงงานในวงกว้างให้มีทักษะในการใช้ AI เป็นเครื่องมือยกระดับการทำงานของตนเอง (AI Literacy) ดังตัวอย่างจากโครงการ SkillsFuture ของสิงคโปร์ หรือโครงการ Reskilling ในแคนาดา บอร์ด AI จึงต้องออกแบบยุทธศาสตร์การพัฒนาคนว่าจะเน้นสร้าง “ทัพหน้า” ผู้เชี่ยวชาญ หรือจะให้ความสำคัญกับการยกระดับ “ทัพหนุน” คือแรงงานส่วนใหญ่ หรือต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปอย่างสมดุล
สำหรับบอร์ด AI แห่งชาติ การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์บนทางแยกสำคัญนี้ จากข้อเสนอจากดร.สันติธาร และ ดร.พัทน์ ที่ได้ฉายภาพให้เห็นถึงทางเลือกและโจทย์ใหญ่ที่รออยู่ การตัดสินใจในแต่ละประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิสัยทัศน์ การกำกับดูแล การประยุกต์ใช้ หรือการพัฒนาคน จะเป็นตัวกำหนดทิศทางและอนาคตของ AI ในประเทศไทย การหาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจด้วยความเร็ว กับการวางรากฐานทางจริยธรรมและสังคมอย่างรอบคอบ คือภารกิจสำคัญยิ่ง เพื่อให้ไทยสามารถสร้าง “AI for Thailand” ที่ทั้งแข่งขันได้ในระดับโลก และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง
หมายเหตุ: เรียบเรียงจาก Facebook ดร.สันติธาร เสถียรไทย (5 ข้อคิดฝากบอร์ด AI แห่งชาติ) และดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร (จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ)
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กรุงศรีฯ ผนึก AWS พลิกโฉมธนาคารด้วยคลาวด์และ AI ชู Use Case วัดผลได้จริง รับมือสมรภูมิดิจิทัล
มช. ก้าวสู่ ‘มหาวิทยาลัย AI’ เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘ChatGen-Matthew’
Orbix จับมือ depa พัฒนาระบบตรวจสอบและรับรองเอกสารด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน




