วงการธุรกิจสัตว์เลี้ยงของไทยถูกจับตามองในฐานะ “เมกะเทรนด์” ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าตลาดในประเทศที่จ่อแตะ 7 หมื่นล้านบาท แต่ทว่าเบื้องหลังตัวเลขที่สวยหรู กลับซ่อนความจริงอันดุเดือดของผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะร้านค้าปลีก หรือ Pet Shop ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และการถาโถมของแพลตฟอร์มออนไลน์
เวทีเสวนา “Pet Shop Transforming ก้าวที่ต้องเปลี่ยน” ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย (TPIA) และบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด จึงเป็นการตีแผ่ความจริงบนสมรภูมิอันดุเดือด พร้อมไขกุญแจสำคัญที่จะนำพาผู้ประกอบการให้ก้าวข้ามความท้าทายครั้งใหญ่นี้ไปได้
ภาพใหญ่โตสวนทางความจริงหน้าร้าน: เมื่อ Pet Shop ไม่ใช่แค่ ‘ร้านสะดวกซื้อ’
แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโต แต่ผู้ประกอบการหน้าร้านกลับเผชิญภาวะ “ตลาดเงียบ” อย่างทั่วกันถ้วนหน้า ปวัฒน์ อัจจมาลย์วรา นายกสมาคมผู้นิยมสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ (TEPA) และ นลินี วิเศษวงศ์สหกิจ กรรมการบริหาร บริษัท เทคนิค เพ็ก (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นวิทยากรที่เคยผ่านประสบการณ์การทำ Pet Shop มากว่า 10 ปี ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานการณ์ปัจจุบันเต็มไปด้วยความท้าทาย
น.สพ.เทียนชัย ไพฑูรย์วงศ์วีระ ที่ปรึกษาสมาคม TPIA และผู้ก่อตั้งชมรมผู้ค้าผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย กล่าวว่า หัวใจของการเปลี่ยนแปลงคือการทลายกรอบความคิดเดิม ๆ ที่มองว่า Pet Shop เป็นเพียงร้านสะดวกซื้อที่แค่วางสินค้าแล้วรอคนมาหยิบ แต่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็น “ร้านสะดวกขาย” ที่ต้องทำงานเชิงรุก
“ธุรกิจสัตว์เลี้ยงไม่ใช่ธุรกิจที่เอาของไปวางเหมือนร้านค้าปลีกทั่วไป ลูกค้าเดินมามีคำถามเสมอ อยากจะเปลี่ยนอาหาร แมวอายุขวบครึ่งแล้วเปลี่ยนอาหารได้หรือยัง? นั่นเป็นเหตุผลว่าวันนี้ทำไมเราต้องมาพูดกันในรายละเอียด” น.สพ.เทียนชัย กล่าว
ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าคุณค่าที่แท้จริงของ Pet Shop ในยุคนี้ ไม่ใช่แค่การมีสินค้าครบครัน แต่คือ ความรู้และบริการพนักงานหน้าร้านไม่ได้เป็นแค่คนเก็บเงิน แต่ต้องเป็นที่ปรึกษาที่สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพลตฟอร์มออนไลน์ให้ไม่ได้
ศึกออนไลน์-ออฟไลน์และสงครามราคา: ภาพลวงตาและหล่มลึกของผู้ประกอบการ
หลายคนเชื่อว่ายอดขายหน้าร้านที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากการที่ลูกค้าหนีไปซื้อของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ นันทพล ตันติวงศ์อำไพ นายกสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย (TPIA) กลับมองว่านี่อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหา
“เราเชื่อว่าตัวเลขขายผ่านออนไลน์ทุกวันนี้ เฉพาะสินค้าในประเทศจะอยู่ในออนไลน์แค่ประมาณ 10% เท่านั้น” คุณนันทพลให้ข้อมูล พร้อมชี้ว่าปัญหาที่แท้จริงอาจอยู่ที่การแข่งขันกันเองของออฟไลน์ ซึ่งมีจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จากเดิมถนนเส้นหนึ่งอาจมี 2-3 ร้าน ปัจจุบันกลับมีมากถึง 10-12 ร้าน ในขณะที่จำนวนสัตว์เลี้ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนเดียวกัน
สถานการณ์ Over Supply นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับจำนวนร้านค้า แต่ยังรวมถึงจำนวนแบรนด์สินค้าที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด ทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดและนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณปวัฒน์สะท้อนภาพว่า “สมัยก่อนเราก็คิดไม่ถึงว่าจะมีอาหารเปียกซองละ 9 บาท 8 บาทมาขาย นี่คือสะท้อนจากเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน”
นอกจากนี้ การทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มของใช้ (Accessory) ที่เคยเป็นแหล่งทำกำไรหลักของร้านค้าก็ถูกสินค้านำเข้าโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ตีตลาดจนแทบไม่เหลือที่ยืน ส่งผลให้ร้านค้าขาดเงินหมุนเวียนและประสบปัญหาหนักยิ่งขึ้น
ทางรอดในสมรภูมิเดือด: ถอดรหัส 5M & 10E หัวใจแห่งการปรับตัว
ท่ามกลางสมรภูมิที่ดุเดือด การเปลี่ยนคือทางรอดเดียว เวทีเสวนาได้นำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ผ่าน 2 กรอบแนวคิดหลัก คือ 5M และ 10E เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการนำไปปรับใช้
หลักการพื้นฐานธุรกิจ (Business Fundamental) – 5M
Merchandising (การจัดการสินค้า): ไม่ใช่แค่การนำสินค้าทุกอย่างเข้าร้าน แต่ต้องคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ มีแผนการตลาดชัดเจน จัดเรียงอย่างเป็นระบบโดยคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลัก และที่สำคัญคือการบริหารสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันปัญหาสินค้าหมดอายุซึ่งเป็นต้นทุนของร้านค้าเอง
Marketing (การตลาด): สร้างการรับรู้ในพื้นที่ของตนเองให้ชัดเจน สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้ลูกค้า (In-store Experience) มากกว่าแค่การซื้อขาย และใช้ระบบสมาชิก (Loyalty Program) เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า ซึ่งทำได้ง่ายกว่าการหาลูกค้าใหม่
Manpower (บุคลากร): นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุด พนักงานคือ นักขาย และ ที่ปรึกษา ไม่ใช่แค่แรงงาน ร้านค้าต้องลงทุนในการฝึกอบรมทักษะการขายและความรู้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่แค่ท่องจำคุณสมบัติสินค้า เพราะพนักงานที่มีคุณภาพสามารถสร้างยอดขายและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้
Money (การเงิน): บริหารการเงินอย่างมีระบบ แยกเงินธุรกิจออกจากเงินส่วนตัวอย่างเด็ดขาด เข้าใจโครงสร้างต้นทุน และรู้จักจุดคุ้มทุนของร้านตนเอง เพื่อวางแผนการขายได้อย่างมีเป้าหมาย
Management (การบริหารจัดการ): ใช้ระบบ POS (Point of Sale) ให้เป็นมากกว่าเครื่องเก็บเงิน แต่ใช้ข้อมูลจากระบบมาวิเคราะห์การขาย สต็อกสินค้า และพฤติกรรมลูกค้า เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่แม่นยำขึ้น
การพัฒนาธุรกิจ (Business Development) – 10E โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือการสร้างคุณค่าให้ลูกค้า และการพัฒนาร้านค้าของตนเอง เพื่อสร้างความแตกต่างและเติบโตอย่างยั่งยืน
ฝั่งลูกค้า ต้องให้ความรู้ (Education) สร้างประสบการณ์ที่ดี (Experience) สร้างความมีส่วนร่วม (Engagement) และเสริมพลังให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัดสินใจถูกต้อง (Empowerment)
ฝั่งร้านค้า ต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) สร้างความพิเศษเฉพาะตัว (Exclusive) พัฒนาและปรับตัวตามยุคสมัย (Evolution) และเชื่อมโยงกับธุรกิจใกล้เคียง (Extend) เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตร
การอยู่รอดของ Pet Shop ไม่ได้อยู่ที่การห้ำหั่นด้านราคา แต่คือการสร้างคุณค่าที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ นั่นคือความรู้จริง การบริการที่น่าประทับใจ และความใส่ใจในฐานะคนรักสัตว์เลี้ยงเช่นเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วทั้งแบรนด์และร้านค้าต่างอยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน การพึ่งพาอาศัยและร่วมมือกันผลักดันอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ คือ ก้าวที่ต้องเปลี่ยน เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืนของทุกคนในสมรภูมินี้




