ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดย เมธิศร์ มุกดาสิริ Head of Industry จาก Meta ได้ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI สำหรับภาคธุรกิจ โดยชี้ให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ แต่เป็นเทคโนโลยีที่อยู่กับเรามานานนับ 10 ปีแล้ว ผ่านกลไกที่คุ้นเคยอย่าง Algorithm บน News Feed ที่คอยคัดสรรเนื้อหาให้ตรงใจผู้ใช้งานแต่ละคน
พันธกิจหลักของ Meta คือการสร้างอนาคตของการเชื่อมต่อของมนุษย์ (Future of Human Connection) และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง โดยปัจจุบัน แพลตฟอร์มของ Meta มีผู้ใช้งานเครื่องมือ AI Assistant ทั่วโลกแล้วกว่า 1,000 ล้านคน และ AI ยังช่วยให้ผู้คนใช้เวลาบนแพลตฟอร์มมากขึ้นถึง 8.6% จากการนำเสนอเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พร้อมกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานกว่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพสูงสุด
การใช้ AI สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ ผ่านเครื่องมือโฆษณาที่ชาญฉลาดและกรณีศึกษาจากแบรนด์ชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจริง โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
ทะลายกำแพงออนไลน์-ออฟไลน์ด้วย Omnichannel Ads และ Loyalty Program
หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังและตอบโจทย์ธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่มากที่สุดคือ Omnichannel Ads ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงการทำโฆษณาบนโลกออนไลน์เข้ากับการซื้อขายที่หน้าร้านจริง (Offline) ได้อย่างสมบูรณ์
หลักการทำงานคือ เมื่อแบรนด์ที่มีระบบสมาชิก (Loyalty Program) สามารถเก็บข้อมูลการซื้อของลูกค้าที่หน้าร้านผ่านเบอร์โทรศัพท์หรือรหัสสมาชิกได้ ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำมาเชื่อมต่อกับระบบโฆษณาของ Meta ทำให้ AI สามารถวัดผลได้ว่า ผู้ที่เห็นโฆษณาบนแพลตฟอร์มแล้วไปตัดสินใจซื้อสินค้าที่หน้าร้านเป็นใคร สิ่งนี้ทำให้การวัดผลแคมเปญสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าลูกค้าจะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ (เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน) หรือออฟไลน์ (หน้าร้าน) ระบบจะนับเป็น Conversion เดียวกัน
กรณีศึกษาของ Central เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลได้นำ Omnichannel Ads มาปรับใช้กับแคมเปญใหญ่ และทำการเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างแคมเปญที่ใช้ Omnichannel กับแคมเปญทั่วไป ผลปรากฏว่าแคมเปญที่ใช้ Omnichannel สามารถสร้างผลตอบแทนด้านค่าโฆษณา (Return on Ad Spend) ได้สูงกว่าถึง 5 เท่า เนื่องจาก AI สามารถมองเห็นเส้นทางการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
Advantage+ Shopping Campaigns: เครื่องมือเรือธงสู่ Personalization & Automation
Meta ได้ชู Advantage+ Shopping Campaigns เป็นเครื่องมือพระเอกที่รวมเอาความสามารถด้าน Automation และ Personalization เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เครื่องมือนี้จะช่วยให้นักการตลาดไม่ต้องเสียเวลาไปกับการตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย (Interest Targeting) ที่ซับซ้อนอีกต่อไป เพียงแค่ระบุว่าสินค้าคืออะไร ระบบ AI จะทำหน้าที่ค้นหากลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มจะสนใจสินค้าให้โดยอัตโนมัติ หากแบรนด์มีสินค้าจำนวนมาก ก็สามารถสร้าง Catalog เพื่อให้ AI ดึงสินค้าไปแสดงผลให้ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละรายได้เอง
สำหรับกรณีศึกษาของ Shopee ซึ่งมีสินค้าในระบบเป็นล้านชิ้น ได้ใช้ Advantage+ ร่วมกับ Catalog Ads เพื่อทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์อย่าง LG และซัมซุงในการนำเสนอสินค้า ผลลัพธ์คือสามารถช่วยให้พาร์ตเนอร์ลดต้นทุนต่อการสั่งซื้อ (Cost per Order) ได้ถึง 30% และสร้างผลตอบแทน (Return) ได้สูงถึง 20 เท่า
เจาะลึกกรณีศึกษา: ปรับใช้ AI แก้โจทย์ธุรกิจหลากรูปแบบ

นอกเหนือจากเครื่องมือหลัก ยังมีการนำเสนอตัวอย่างการใช้ AI เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการตลาดที่แตกต่างกันออกไปอย่างน่าสนใจ เริ่มจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น กรณีของ Nespresso ในเกาหลี ที่ต้องการสร้างการรับรู้สำหรับกาแฟพ็อดรุ่นใหม่ให้เร็วและมากที่สุด โดยใช้เครื่องมือ Meta Momentum Maker เพื่ออัดฉีดการแสดงผลอย่างหนาแน่นในช่วงแรกของการเปิดตัว ซึ่งช่วยให้ผู้คนจดจำแคมเปญได้มากขึ้น 6% และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าที่ตั้งไว้ถึง 4 ล้านคน
ในด้านการสร้างคอนเทนต์ที่เข้าถึงง่าย Grab ได้โปรโมตบริการ “Family Account” ผ่าน Partnership Ads โดยร่วมมือกับ Content Creator เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาในมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้สารของแคมเปญตรงใจและเข้าใจง่ายขึ้น ส่งผลให้มีคนเข้าชมเพจเพิ่มขึ้น ขณะที่การหาลูกค้าที่มีความต้องการซื้อสูง กรณีของ LabX Clinic เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ Click to Messenger Ads พร้อมฟีเจอร์ Lead Optimization เพื่อให้ AI ช่วยค้นหาผู้ใช้ที่ทักแชทและมีแนวโน้มจะให้เบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อกลับ ซึ่งช่วยให้คลินิกได้ Lead ที่มีคุณภาพในต้นทุนที่ถูกลง
ส่วนโจทย์การดึงคนมาที่หน้าร้าน หอแว่น (Better Vision) ได้ใช้แคมเปญแบบ Full-funnel ที่ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการวัดผลที่หน้าร้าน ทำให้สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกและดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการที่ร้านได้ตามเป้าหมาย
สุดท้ายนี้ Meta ได้ทิ้งท้ายด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่า ทุกการเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นคือโอกาสทางธุรกิจ และเชิญชวนให้นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจมาร่วมกันสร้างอนาคตโดยใช้พลังของ AI ในการ “นำสินค้าของคุณไปสู่สายตาของผู้คน” (Bring your products to people) แทนที่จะรอให้พวกเขามาค้นหาเอง ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญที่จะสร้างการเติบโตในโลกธุรกิจยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ