ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันทางเศรษฐกิจ กระทรวงพลังงานได้เปิดเผยทิศทางนโยบายพลังงานชุดใหม่ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win”
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เป้าหมายเร่งด่วน คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาระประชาชน ควบคู่ไปกับการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อนำประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050 ซึ่งเป็นการขยับเป้าหมายให้เร็วขึ้นจากเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2065 อย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุด คือการปรับเปลี่ยนท่าทีเชิงรุกของประเทศไทยบนเวทีโลก คุณอรรถพลชี้ว่า การเลื่อนเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียนอย่างเมียนมาร์ ลาว มาเลเซีย และเวียดนาม ที่ต่างประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนไปแล้ว การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณว่าไทยพร้อมที่จะปรับตัวและแข่งขันในกติกาใหม่ของโลก
สร้างสมดุล 3 มิติ: หัวใจการบริหารจัดการพลังงาน

คุณอรรถพลได้ตอกย้ำถึงหลักการบริหารจัดการพลังงานที่เปรียบเสมือนการสร้างสมดุลของสามเหลี่ยม 3 ด้าน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายอยู่เสมอ ประกอบด้วย
- ความมั่นคง (Security): พลังงานต้องมีใช้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอ ซึ่งจำเป็นต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
- สิ่งแวดล้อม (Environment): การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดย่อมมีต้นทุนที่สูงขึ้น
- เศรษฐกิจ (Economy): ราคาพลังงานต้องอยู่ในระดับที่ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงได้ ไม่เป็นภาระจนกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
นโยบาย “Quick Big Win” จึงถูกออกแบบมาเพื่อบริหารจัดการ 3 ส่วนนี้ให้สมดุล โดยในช่วง 4 เดือนแรก จะเน้นมาตรการระยะสั้นเพื่อไม่สร้างภาระเพิ่มให้กับประชาชน ผ่านการตรึงราคาพลังงานที่จำเป็น เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ำมันดีเซล และค่าไฟฟ้า พร้อมทั้งมองหาโอกาสในการลดราคาเพิ่มเติม
โซลาร์ภาคประชาชน: ลดรายจ่ายกระจายรายได้
หนึ่งในเรือธงของนโยบายนี้ คือโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายประโยชน์สู่คนทุกกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม โดยแบ่งออกเป็น 4 โครงการย่อยที่น่าสนใจ:
- โซลาร์ฟาร์มสำหรับชุมชน: กันโควต้าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 1,500 เมกะวัตต์ไว้สำหรับชุมชนโดยเฉพาะ เปิดทางให้เอกชนเข้าไปลงทุนโซลาร์ฟาร์มในพื้นที่ชุมชน โดยที่ ชุมชนไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย แต่จะได้รับประโยชน์จากค่าไฟที่ถูกลง และหากโซลาร์ฟาร์มมีกำไร ชุมชนจะได้รับส่วนแบ่งผลกำไรนั้นด้วย เป็นโมเดลที่ทั้งสร้างพลังงานสะอาดและกระจายรายได้สู่ฐานราก
- โซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตร: รัฐบาลจะอุดหนุนการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 1,200 ระบบ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 700,000 ไร่
- โซลาร์รูฟท็อปสำหรับครัวเรือน: มอบสิทธิประโยชน์ ลดหย่อนภาษีได้ถึง 200,000 บาท สำหรับครัวเรือนที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 90,000 ครัวเรือนภายในระยะเวลา 3 ปี
- โซลาร์ลอยน้ำในเขื่อน: เร่งรัดโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของ กฟผ. ซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำ เมื่อไฟฟ้าจากส่วนนี้เข้าสู่ระบบ จะช่วยดึงราคาค่าไฟฟ้าโดยรวมของทั้งประเทศให้ลดลง ซึ่งทุกคนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่และเดิมพันใหญ่สู่ Net Zero
นอกเหนือจากภาคประชาชน นโยบายยังมุ่งส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) และวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอนาคต
- ส่งเสริม Data Center: ผลักดันให้เกิดการซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวโดยตรง (Green PPA) ระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ โดยมีเป้าหมายแรกคือกลุ่ม Data Center ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าคุณภาพสูงและมีเสถียรภาพ จำนวน 2,000 เมกะวัตต์
- อัปเกรดสายส่ง: แก้ปัญหา “คอขวด” ที่แม้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง แต่ไม่สามารถส่งไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูงได้ โดยจะลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพระบบสายส่งในภาคตะวันออก
- สนับสนุนโรงงานประหยัดพลังงาน: ใช้กองทุนอนุรักษ์พลังงานเข้าไปอุดหนุนโรงงานที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและใช้พลังงานลดลง
สำหรับเป้าหมายระยะยาวอย่าง Net Zero 2050 นายอรรถพลชี้ว่ามีสองภารกิจใหญ่ที่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่วันนี้ เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้เวลานับ 10 ปี คือ 1.จัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ เร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 ที่ท้าทายยิ่งขึ้น
และ 2. ผลักดันเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (CCS) เดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage) อย่างจริงจัง เพราะแม้จะใช้พลังงานหมุนเวียนมากเพียงใด ก็ยังคงมีการปล่อยคาร์บอนในภาคการผลิต เทคโนโลยี CCS จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการดูดกลับคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาไปกักเก็บไว้ในแอ่งปิโตรเลียมใต้ทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องลงทุนหลายแสนล้านและต้องใช้เวลาพัฒนากว่าทศวรรษ จึงจำเป็นต้องเริ่มสำรวจโครงสร้างทางธรณีวิทยาและผลักดันกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ตอนนี้
นโยบายทั้งหมดนี้สะท้อนความตั้งใจที่จะปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศครั้งสำคัญ โดยใช้กลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับอนาคตของประเทศไทย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘Mad Unicorn’ โปรเจกต์ใหม่ ‘คมสันต์ แซ่ลี’ ที่จะปฏิวัติวงการ SME
The Central พหลโยธิน: พลิกโฉมกรุงเทพฯ ตอนเหนือ สู่ New CBD แห่งอนาคต