ท่ามกลางฉากทัศน์เศรษฐกิจไทยที่เติบโตในอัตราเพียง 1.6% ประหนึ่งรถยนต์ที่เครื่องยนต์ติด ๆ ดับ ๆ วิ่งลงเขาอย่างเชื่องช้า กลับมีภูเขาลูกมหึมาที่กำลังสูงขึ้นและพร้อมจะถล่มทับผู้คนในชาติ นั่นคือ ภูเขาหนี้สินภาคครัวเรือน นี่ไม่ใช่เป็นเพียงตัวเลขในรายงานเศรษฐกิจ แต่คือชะตากรรมของคน 33 ล้านชีวิตที่ข้อมูลของพวกเขาถูกเก็บไว้ในเครดิตบูโร และกำลังส่งเสียงร้องเตือนถึงวิกฤตที่หยั่งรากลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยมาตรการฉาบฉวย
บนเวทีเสวนา Money Freedom Forum 2025 สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ได้ชี้ประเด็นสำคัญในหัวข้อ “เศรษฐกิจผันผวน หนี้ท่วม… แต่คนไทยต้องรอด” โดยระบุว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของสถานการณ์หนี้ในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ขนาดของหนี้ แต่เป็น สมการที่กำลังนำไปสู่การล่มสลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนไทยเป็นวงกว้าง
สมการหายนะ: เมื่อรายได้โต 3% แต่รายจ่ายพุ่ง 5%
“รายได้โตปีละ 3 รายจ่ายโตปีละ 5 ท่านว่ารอดไหม” คุณสุรพลตั้งคำถามที่จี้ใจดำผู้ฟัง ต้นตอของวิกฤติที่รุนแรงขึ้นในยุคหลังโควิด-19 ถูกสรุปไว้ในสมการง่าย ๆ ผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า หลุมรายได้ (Income Shock) ที่ได้ทิ้งบาดแผลลึก โดยเฉพาะกับกลุ่มฟรีแลนซ์กว่า 10 ล้านคน ที่รายได้ดิ่งเหวอย่างรุนแรง แต่ในทางกลับกัน ดอกเบี้ยไม่เคยรู้จักโควิด มันยังคงเดินหน้าทำงานต่อไป ทำให้สัมภาระหนี้หนักอึ้งขึ้นทุกวัน
นอกจากนี้ พฤติกรรมที่ซ่อนอยู่ในสมการนี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน คือ ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลายคนมองข้าม อาทิ ลิปสติกที่มีเต็มโต๊ะเครื่องแป้งแต่ไม่เคยใช้หมดสักแท่ง หรือวัฒนธรรม “วันสุขแห่งชาติ” ที่ต้องสังสรรค์ทุกเย็นวันศุกร์ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของรายจ่าย 5% ที่เติบโตเร็วกว่ารายได้ และกำลังกัดกินสถานะทางการเงินของผู้คนอย่างเงียบ ๆ
Mid-Life Crisis: วัย 40+ กลุ่มเปราะบางที่สุดบนยอดดอยหนี้เสีย
เมื่อพิจารณาลึกลงไปในโครงสร้างของภูเขาหนี้พบว่า กลุ่มคนอายุ 40-45 ปี คือช่วงวัยที่หนี้เสีย (NPL) พุ่งขึ้นสูงสุด หรือที่เรียกว่า Mid-Life Crisis ทางการเงินอย่างแท้จริง
คนในวัยนี้คือเสาหลักของครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระทุกด้าน ทั้งบ้าน รถยนต์ ค่าใช้จ่ายในครอบครัว และการดูแลคนรุ่นก่อนหน้า ทำให้เมื่อเผชิญกับภาวะรายได้สะดุด พวกเขาจึงเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าสู่สถานะหนี้เสีย โดยเฉพาะหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) และสินเชื่อรถยนต์
ขณะเดียวกัน คลื่นลูกใหม่ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันคือ กลุ่ม Gen Z ที่แม้จะเพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน แต่กลับเป็นหนี้เสียในสัดส่วนที่น่าตกใจ โดยเฉพาะหนี้มอเตอร์ไซค์ และหนี้จากการเช่าซื้อสินค้าต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงกับดักทางการเงินที่วางรอคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ก้าวแรกของชีวิต และเป็นคำถามสำคัญว่า “แล้วใครจะขับเคลื่อนประเทศนี้ต่อไป ถ้าคนหนุ่มสาวติดกับดักหนี้จนไปต่อไม่ได้?”
ดอกเบี้ยโหด: ปรัชญา 2475 ที่ถูกลืม
คุณสุรพลได้ย้อนรอยประวัติศาสตร์ถึงปี 2475 ซึ่งประเทศไทยเคยมี พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ที่ระบุปรัชญาสำคัญไว้ว่า “การให้กู้ยืมเงินโดยอัตราดอกเบี้ยสูงเกินควรนั้น ย่อมเป็นทางเสื่อมของประโยชน์บ้านเมือง”
ทว่าในปัจจุบัน ปรัชญานี้ดูเหมือนจะเลือนหายไป เมื่อคนไทยต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิตที่ 16% และสินเชื่อส่วนบุคคลที่สูงถึง 25% ซึ่งเป็นอัตราที่บั่นทอนศักยภาพในการชำระหนี้อย่างมหาศาล สภาพแวดล้อมเช่นนี้ บวกกับพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ถูกกระตุ้นผ่านแคมเปญส่งเสริมการขายอย่าง 0% หรือแนวคิดกินก่อนผ่อนทีหลัง ยิ่งผลักให้ผู้คนจมดิ่งลงไปในวังวนหนี้อย่างง่ายดาย
บริหารความทุกข์และความหวังที่ปลายอุโมงค์
จากข้อมูลของเครดิตบูโร มีคนไทยถึง 5.4 ล้านคน ที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย รวม 9.6 ล้านบัญชี มูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท นี่คือกลุ่มคนที่ชีวิตไม่ปกติ ไม่สามารถทำธุรกรรมได้ และอาจต้องอยู่อย่างหลบซ่อน
ภาครัฐกำลังพยายามเข้ามาแก้ไข โดยมีแนวคิดจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อยกหนี้ก้อนใหญ่นี้ออกมาบริหารจัดการ โดยจะพุ่งเป้าไปที่กลุ่มหนี้เสียก้อนเล็ก (ไม่เกิน 100,000 บาท) ซึ่งมีจำนวนมากถึง 3.4 ล้านคน เพื่อปลดล็อกคนกลุ่มนี้ออกจากกับดักให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม คุณสุรพลย้ำว่า กลไกจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หัวใจสำคัญอยู่ที่ตัวลูกหนี้เอง ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า การแก้ไขปัญหาหนี้คือการบริหารความทุกข์ล้วน ๆ ต้องยอมหักดิบ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และทนอยู่กับความรู้สึกที่ว่ารายได้ในแต่ละเดือนถูกจองกฐินไปแล้วจนเกือบหมด
ท้ายที่สุด เขาได้ฝากความหวังของคนตัวเล็กตัวน้อยไว้กับผู้มีอำนาจในอนาคต พวกเขาต้องการเพียงแค่ “มีความรู้ กู้เงินได้ ขายของดี มีกำไร ใช้หนี้ทัน” นโยบายที่ตอบโจทย์พื้นฐานเหล่านี้ได้ คือความหวังเดียวที่จะนำพาคนไทยให้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้