30,000 ล้านบาท คือเส้นแบ่งของการก้าวขึ้นเป็น “ยูนิคอร์น” แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ต้องผ่านหนทางที่ยาวนานและเต็มไปด้วยบทเรียนสตาร์ตอัพเกิดขึ้นมากมาย แต่ผู้ที่อยู่รอดและเติบใหญ่ได้มีเพียงหยิบมือ อะไรคือความลับที่ทำให้ธุรกิจสามารถทะยานสู่สถานะยูนิคอร์น?
บนเวที ลงทุนแมน Summit 2025 ในหัวข้อ The Unicorn’s Secret สองผู้ก่อตั้งธุรกิจระดับยูนิคอร์นของไทย ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bitkub Capital Group Holdings และ ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ได้มาเผยเคล็ดลับที่ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่กลั่นมาจากประสบการณ์จริงที่ต้องเดิมพันด้วยทั้งชีวิต
จากคริปโทสู่ Longevity: ‘ท็อป’ ชี้ S-curve ใหม่ของไทยไม่ใช่ Digital Economy
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุด อาจไม่ใช่เรื่องราวความสำเร็จของ Bitkub แต่เป็นวิสัยทัศน์ของคุณท็อปที่มองข้ามช็อตไปยังอนาคตของประเทศไทย เขาสร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศว่า S-curve หรือเส้นทางการเติบโตใหม่ของประเทศ อาจไม่ใช่ Digital Economy Hub อย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่คือ Longevity Hub หรือศูนย์กลางด้านการมีอายุยืนยาว
คุณท๊อปให้เหตุผลว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ Super Aging Economy ในอีก 5 ปีข้างหน้า 20% ของประชากรจะมีอายุเกิน 65 ปี และอัตราการเกิดใหม่ลดลงต่ำสุดในรอบ 70 ปี หากเป็นเช่นนี้ต่อไปใน 50 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคนจาก 70 ล้านคนในปัจจุบัน การแข่งขันในสมรภูมิดิจิทัลที่ต้องอาศัยคนรุ่นใหม่จึงเป็นเรื่องที่เสียเปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์
“เราจะไปเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลอะไรมาสู้เขา” คุณท๊อปตั้งคำถาม
ในทางกลับกัน จุดแข็งที่แท้จริงของไทยคือ Longevity ซึ่งประกอบด้วยการแพทย์ Hospitality อาหารสมุนไพร และค่าครองชีพที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้คือ ทุนเดิมที่แข็งแกร่งซึ่งจะดึงดูดผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อจากทั่วโลกให้เดินทางมาใช้ชีวิตและย้อนวัยที่นี่
เขายังเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างเจ็บแสบว่า เหมือนกับที่แบงก์ชาติไม่เข้าใจ Bitcoin เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ทุกวันนี้คุณหมอส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่อง Longevity เป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่จะมาปฏิวัติวงการสุขภาพอาจไม่ใช่คนในวงการเดิม ๆ เช่นเดียวกับที่ FinTech ไม่ได้ถูกสร้างโดย Banker
คลื่นลูกใหม่ AI: ‘ยอด’ ประกาศพา LINE MAN Wongnai กลับสู่โหมด Startup
ในขณะที่คุณท๊อปมองภาพใหญ่ระดับประเทศ คุณยอดได้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการประกาศแนวทางขององค์กรที่น่าจับตา เขาประกาศว่า “ขอกลับไปเป็น Startup อีกครั้งหนึ่ง” แม้ว่า LINE MAN Wongnai จะอยู่ในสถานะบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เตรียมพร้อมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ (IPO) แล้วก็ตาม
เหตุผลสำคัญคือการมาถึงของ AI ซึ่งคุณยอดมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว การอยู่ในโครงสร้างองค์กรขนาดใหญ่ที่มีขั้นตอนมากมาย (Governance) จะทำให้ปรับตัวไม่ทัน “พอ AI มา ผมพยายามบอกว่า พวกคุณ (ฝ่ายต่าง ๆ) ช่วยหลบไปข้างหลังก่อนนะ เพราะตอนนี้เราต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและตัดสินใจให้เร็วขึ้น”
นี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรทุกขนาด ว่าเทคโนโลยีไม่ได้รอใคร และบางครั้งการสลัด “ความเป็นบริษัทใหญ่” ทิ้งไป เพื่อกลับมามีความคล่องตัวแบบสตาร์ตอัพ คือหนทางเดียวที่จะอยู่รอดในคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลง
เคล็ดลับสู่ยูนิคอร์น: จังหวะเวลาที่ใช่ (Tailwind) และการเป็นผู้รอดคนสุดท้าย
เมื่อเจาะลึกถึงเคล็ดลับการปั้นธุรกิจ ทั้งสองต่างมีมุมมองที่สอดคล้องกันใน 2 ประเด็นหลัก คือ
มองให้ออกว่า “ลม” กำลังพัดไปทางไหน (Tailwind & Market Wave) คุณท๊อปย้ำว่า Macro สำคัญกว่า Micro การเลือกทำธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น (Sunrise) หรือมีลมใต้ปีก (Tailwind) สำคัญกว่าความเก่งของ CEO ด้วยซ้ำ เขาเปรียบตัวเองว่าเป็น “หมูที่บินได้” เพราะกระแสของคริปโทเคอร์เรนซีนั้นรุนแรงมากจนแม้แต่หมูก็บินได้ การตัดสินใจเลือกสนามรบที่ถูกต้องจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดอันดับแรก
เช่นเดียวกับคุณยอด ที่มองเทรนด์เป็นเหมือน “คลื่น” (Wave) ที่ต้องพร้อมจะโต้เสมอและเน้นย้ำเรื่อง TAM (Total Addressable Market) หรือขนาดของตลาดที่ใหญ่พอให้เติบโตได้ จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงเว็บไซต์รีวิวร้านอาหาร เขาสามารถปรับตัวและนำพาธุรกิจเข้าไปอยู่ในบ่อน้ำที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การทำดีล POS ไปจนถึงการผนึกกำลังกับ LINE MAN เพื่อเข้าสู่ตลาด Food Delivery ที่มีขนาดใหญ่กว่ามหาศาล
ความอึดและความอดทนคือคุณสมบัติของผู้ชนะ คุณยอดให้เคล็ดลับที่เรียบง่ายว่า “เราชนะด้วยการที่เราเป็นคนลุกคนสุดท้าย” ความสำเร็จของ Founder ทุกคนล้วนมาจากความสามารถในการทนความเจ็บปวดได้สูง และไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อน ในวันที่ธุรกิจยังไม่มีรายได้ หรือในวันที่ตลาดซบเซา คนที่ยืนหยัดอยู่ได้คือผู้ที่จะคว้าโอกาสไว้ได้ในที่สุด
ความจริงของสมรภูมิระดมทุนและ AI คือทางรอด?
ในประเด็นการระดมทุน (Raise Fund) คุณยอดเปิดเผยว่ายุคสมัยของการขายฝันได้จบลงแล้ว ปัจจุบันเป็น “Dry Season” หรือ ฤดูที่เหี่ยวแห้งสำหรับสตาร์ตอัพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักลงทุนไม่ฟังเรื่องเล่า (Narrative-based) อีกต่อไป แต่ต้องการเห็น Real Performance หรือผลประกอบการจริง และเม็ดเงินส่วนใหญ่มุ่งตรงไปยังธุรกิจที่เกี่ยวกับ AI เป็นหลัก
สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป คุณยอดแนะนำแนวทางการปรับใช้ AI 4 ระดับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 1.ติดอาวุธให้พนักงาน อย่าขี้เหนียวที่จะซื้อเครื่องมือ AI ระดับโปร (เช่น ChatGPT Pro, Gemini Advanced, Copilot) ให้ทีมงานใช้ เพราะมันสามารถเพิ่ม Productivity ได้มากกว่า 30% 2. ใช้ AI กับองค์กรเริ่มโปรเจกต์ AI ภายในองค์กรเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงาน 3. สร้างผลิตภัณฑ์ด้วย AI พัฒนาสินค้าหรือบริการที่มี AI เป็นแกนหลัก 4. ทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI Transformation ช่วยเหลือองค์กรอื่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ซึ่งจะเป็นตลาดที่ใหญ่มากใน 3-5 ปีข้างหน้า
บทสรุปถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่: จงกล้าและอย่าล้มเลิก
ในช่วงท้าย ทั้งสองได้ทิ้งท้ายข้อความสำคัญถึงคนรุ่นใหม่ โดยคุณท๊อปกล่าวว่า “คนไทยเก่งเยอะ แต่ขาดคนกล้า” เขากระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ออกมาสร้างสิ่งใหม่ ๆ ในวันที่เทคโนโลยีอย่าง AI, Big Data หรือ 3D Printing กำลังมา แต่ยังไม่มี “เจ้าของคำ” ที่ชัดเจนในประเทศไทย นี่คือโอกาสมหาศาลที่จะสร้างตัวตนและธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์ของโลก
ปิดท้ายด้วยคุณยอดที่ย้ำว่า ท่ามกลางยุค AI สิ่งที่ยังคงทดแทนไม่ได้คือ Social Skill หรือทักษะการเข้าสังคม Likability (ความน่าคบหา) และ Charisma (เสน่ห์) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเสมอ และเหนือสิ่งอื่นใด “อย่าลืมมีความสุข”เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ อาจไม่มีความหมายหากปราศจากความสุขในระหว่างทางของการใช้ชีวิต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Smart Women, Strong Finance: ส่องกลยุทธ์สร้างพอร์ตโตจาก 3 กูรูการเงินหญิง
ส่องกลยุทธ์ ‘สุกี้ตี๋น้อย-มาม่า’: ทำอย่างไรให้แบรนด์ Mass โตแบบ Premium