TH | EN
spot_img
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกBusiness'ธรรมชาติไม่ใช่ของฟรี' พลิกเศรษฐกิจไทย ในโลกใบใหม่

‘ธรรมชาติไม่ใช่ของฟรี’ พลิกเศรษฐกิจไทย ในโลกใบใหม่

โลกไม่ได้กำลังป่วยไข้ แต่ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโลกต่างหากที่กำลัง ‘ล้มละลายทางความคิด’ เพราะตลอดศตวรรษที่ผ่านมาเราสร้างการเติบโตบนสมมติฐานที่ผิดพลาดว่าทรัพยากรธรรมชาติคือ ‘ของฟรี’ ที่ไม่มีวันหมดสิ้น เวทีเสวนา “วิกฤติโลก ทางออกไทย” ได้เจาะลึกถึงรากของวิกฤติ ชี้ว่า ทางออกของประเทศไม่ได้อยู่แค่การปรับตัว แต่คือการสร้าง สถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจและการเงินขึ้นใหม่ (New Economic & Financial Architecture) ที่บังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับ ‘ต้นทุนที่แท้จริง’ ของการทำลายสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนมุมมองต่อธรรมชาติจาก ‘วัตถุดิบ’ ให้กลายเป็น ‘สินทรัพย์’ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุด

ความย้อนแย้งครั้งใหญ่: เมื่อโลกป่วยแต่เศรษฐกิจยังเดินแบบเดิม

ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญกับความย้อนแย้งครั้งใหญ่ วิกฤติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และการเมือง ควรจะเป็นตัวเร่งให้โลกหันมาใส่ใจความยั่งยืนมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ผู้นำทั่วโลกกลับเลือกที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและโฟกัสสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนกลายเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน

“เราอยู่ในจุดที่การเติบโตแบบเดิมทำให้อนาคตสั้นลง เรามีความสุขในวันนี้ แต่คนรุ่นหลังคือผู้ที่ต้องจ่ายบิล” ปิยะชาติกล่าว พร้อมชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจปัจจุบันที่วัดความสำเร็จด้วย GDP โดยไม่ได้นำต้นทุนของระบบนิเวศ (Ecosystem Service) เข้ามาคำนวณด้วย ทั้งที่ทรัพยากรธรรมชาติคือวัตถุดิบสำคัญในทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ปัญหานี้สะท้อนออกมาใน 3 ระดับ คือ 1) ระดับมหภาค (Macro) นโยบายของรัฐยังคงแยกการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากความยั่งยืน ทำให้การพัฒนาเดินไปคนละทิศทาง 2) ระดับตลาด (Market) ยังไม่มีการสร้างตลาดของการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ธุรกิจยังไม่เห็นว่าการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมคือโอกาสทางธุรกิจแห่งอนาคต และ 3) ระดับจุลภาค (Micro) แม้ความยั่งยืนจะต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเกิดจากการลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ในทุกวันของทุกคน

ความเป็นจริงของภาคการเงิน: ต้นทุนของการไม่ลงมือทำและบทบาทใหม่ของสถาบันการเงิน

ในมุมมองของภาคการเงิน ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้ตอกย้ำถึงความเสี่ยงมหาศาลด้วยตัวเลขที่ชัดเจน โดยมีการประเมินว่า หากโลกร้อนขึ้นถึง 3.2 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกถึง 18% ของ GDP ซึ่งสำหรับประเทศไทยอาจหมายถึง การสูญเสีย GDP ถึง 44% นี่คือ “ต้นทุนของการไม่ลงมือทำ” (Cost of Inaction) ที่สูงเกินกว่าจะเพิกเฉยได้

ดร.กรินทร์กล่าวว่า ความไม่สมดุลของเม็ดเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance) ทั่วโลก โดยกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 17% ของโลก กลับได้รับเงินทุนสนับสนุนเพียง 4% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไข

ด้วยเหตุนี้ บทบาทของสถาบันการเงินจึงต้องเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อ สู่การเป็นผู้สร้างโซลูชันและระบบนิเวศเพื่อช่วยให้ลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนได้ ธนาคารกสิกรไทยได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์นี้ เช่น การให้ความรู้ จัดตั้งศูนย์วิจัยเพื่อแปลงองค์ความรู้จากบริษัทขนาดใหญ่ให้ง่ายต่อการเข้าถึงของ SMEs การสร้างเครื่องมือพัฒนาแพลตฟอร์ม K-Climate 1.5 เพื่อช่วยให้ธุรกิจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างแม่นยำ และ การสร้างระบบนิเวศ เป็นตัวกลางรวบรวม สิทธิในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REC) จากผู้ติดตั้งโซลาร์เซลล์รายย่อยตามบ้าน เพื่อนำไปขายในตลาด สร้างรายได้กลับคืนสู่ประชาชน และเพิ่มปริมาณพลังงานสะอาดในระบบ

“บทบาทของธนาคารไม่ใช่แค่การให้เงิน แต่เราต้องให้องค์ความรู้และโซลูชัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินต่อไปได้” ดร.กรินทร์กล่าว

เสียงจากชุมชน: เมื่อวิกฤติไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือชีวิตที่ถูกคุกคาม

ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ดึงภาพจากมุมสูงกลับลงมาสู่ความเป็นจริงของคนในระดับพื้นที่ที่ต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบโดยตรง ผ่านเรื่องเล่าจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งทำให้วิถีชีวิตของพวกเขาพังทลาย “ปลากินไม่ได้ น้ำใช้ไม่ได้ ข้าวที่ปลูกจากน้ำในคลองก็ไม่มีใครกล้าซื้อ” นี่คือภาพสะท้อนว่าวิกฤติสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือชีวิตและความอยู่รอดของผู้คน

ดร.สุภัชญาได้เปรียบเทียบระบบนิเวศว่าเป็นเหมือน “เกมเจงก้า” (Jenga ) การดึงชิ้นส่วนเล็ก ๆ ออกไปทีละชิ้นอาจดูไม่เป็นอะไร แต่ท้ายที่สุดแล้วโครงสร้างทั้งหมดก็จะพังทลายลงมา ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่น่าตกใจว่านับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ทุนมนุษย์ (Human Capital) เติบโตขึ้น 13% แต่ทุนทางธรรมชาติ (Natural Capital) กลับลดลงถึง 44%

นอกจากนี้ เรามักให้ความสำคัญกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นฉับพลัน เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว แต่กลับมองข้าม “ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ” (Slow Onset Events) เช่น ภาวะน้ำเค็มรุกพื้นที่เกษตร หรืออุณหภูมิที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรและแม้กระทั่งประสิทธิภาพการนอนของคนเมือง ซึ่งภัยคุกคามเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้างและบ่อนทำลายรากฐานของสังคมอย่างเงียบ ๆ

ทางออกประเทศไทย: สร้างความร่วมมือกำหนดวาระแห่งชาติ และปฏิรูปภาคเกษตร

จากภาพปัญหาทั้งหมด เหล่านักคิดได้ร่วมกันเสนอทางออกสำหรับประเทศไทย โดยสรุปเป็นแนวทางสำคัญได้ดังนี้  สร้างสถาปัตยกรรมความร่วมมือใหม่(New Architecture) ปิยะชาติเน้นย้ำว่า ประเทศไทยต้องสร้างกลไกที่ทำให้เกิดความร่วมมืออย่างแท้จริง ออกแบบที่ทุกฝ่ายเห็น “วาระร่วมแห่งชาติ” (Common Agenda) และเข้าใจบทบาทของตนเองในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายนั้น

ก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นใจ ประเทศไทยจำเป็นต้องเข้าไปมีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจมาตรฐานสากล นำเสนอจุดแข็งของตนเอง และสร้างโอกาสในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง แทนที่จะเป็นเพียงผู้ตาม และ ปฏิรูปภาคเกษตรสู่ “Agri-Culture” ผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกันว่า ภาคการเกษตรคือคำตอบสำคัญสำหรับประเทศไทยต้องเปลี่ยนจาก “Agriculture” (เกษตรกรรม) สู่ “Agri-Culture” (วัฒนธรรมเกษตร) ที่มองเห็นคุณค่าตลอดทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพผลผลิตที่ต้นน้ำ การแปรรูปที่กลางน้ำไปจนถึงการสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ปลายน้ำ เพื่อให้ชาวนาเป็นอาชีพที่ประสบความสำเร็จและสร้างความมั่งคั่งกลับคืนสู่คนในประเทศได้อย่างแท้จริง

ที่สำคัญต้องพัฒนาคนเพราะคือหัวใจท่ามกลางยุคสมัยของ AI (Artificial Intelligence) สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการพัฒนา “Authentic Intelligence” หรือวุฒิภาวะทางความคิดของคน เพื่อให้เข้าใจว่าต้นทุนที่แท้จริงของชีวิตคือทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับบุคคล

การเดิมพันของประเทศไทยนั้นสูงกว่าที่เคยเป็นมา การรับมือกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ไม่สามารถใช้กรอบความคิดแบบเดิมได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยความกล้าหาญในการทลายไซโล ผนึกกำลังทุกภาคส่วน และเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนทุกรุ่น

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCBX x heygoody: ถอดบทเรียนสร้างองค์กรยุคใหม่ ด้วย ‘AI Agent’

เปิดแผนอนาคตพลังงานไทย: เมื่อโลกมุ่งสู่ Net Zero ปตท. เดินเกมอย่างไร?

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Latest News

MUST READ