ปี 2565 นี้ หัวเว่ยจะครบรอบ 23 ปีของการก่อตั้งบริษัทในประเทศไทย หัวเว่ยเดินหน้าต่อภายใต้พันธกิจ “Grow in Thailand, Contribute to Thailand”
อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงาน “Meet the Press” ว่า ประเทศไทย คือ หนึ่งในตลาดยุทธศาสตร์ของหัวเว่ย ปีที่ผ่านมาหัวเว่ยได้ลงทุนในประเทศไทยจำนวนมากและลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ ทั้งในรื่องของ 5G คลาวด์ โซลูชันดิจิทัลเพื่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างและขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลในประเทศไทยผ่านโครงการและความร่วมมือต่าง ๆ
ความสำเร็จของหัวเว่ยในไทย ปี 2564
ประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของหัวเว่ย และเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุด ตลอด 23 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งหัวเว่ย ประเทศไทยในปี 2542
หัวเว่ยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ลูกค้าและพันธมิตร และมีโอกาสร่วมพัฒนา 2G, 3G, 4G และ 5G ในประเทศไทย และภายใต้พันธกิจ “เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย และร่วมสนับสนุนประเทศไทย
- หัวเว่ยได้รับรางวัล “Digital International Corporation of the Year” จากนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นครั้งแรก และยังเป็นบริษัทข้ามชาติเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัลนี้ในช่วงที่ผ่านมา
- หัวเว่ยได้รับรางวัล แบรนด์ที่น่าเชื่อถือสูงสุด “Most Admirable Brand” จากผู้บริโภคและได้รับรางวัล “Thailand TOP Company Award” จากองคมนตรี ด้านโครงสร้างพื้นฐานยอดเยี่ยมเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
- อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับเลือกให้เป็นสุดยอด CEO ในด้าน ICT Solutions Excellence
สนับสนุนให้ ไทยเป็นผู้นำการใช้ 5G ในภูมิภาคอาเซียน
หัวเว่ยเป็นผู้จำหน่ายชิ้นส่วนอันดับ 1 ในตลาดผู้ให้บริการ 5G ของประเทศไทย ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดใช้สถานีฐาน 5G มากกว่า 20,000 แห่ง จำนวนประชากรที่เข้าถึง 5G ครอบคลุมสูงถึง 70% และมีผู้ใช้ 5G ถึง 4.3 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ใช้ในประเทศอาเซียนอื่น ๆ ถึง 2.5 เท่า อัตราการเข้าถึงเทอร์มินัล 5G และการรับส่งข้อมูล 5G เพิ่มเป็น 10%
นอกเหนือจากงานโครงสร้างพื้นฐาน หัวเว่ยทำงานร่วมกับรัฐบาลและลูกค้า เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยี 5G ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านการแพทย์ 5G, ท่าเรือ 5G, และการเกษตร 5G ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด นับเป็นการวางรากฐานสำหรับการขยายตัวในอนาคต
จำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 1.67 ล้านคนในปี 2564 อัตราการเข้าถึงเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 60.4% ถือว่าเป็นเครือข่ายที่มั่นคงสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตของผู้คนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในฐานะผู้นำเชิงรุกของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ธุรกิจองค์กรของหัวเว่ยมีส่วนร่วมด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรม และในภาวะวิถีชีวิตใหม่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
หัวเว่ยได้รวมเทคโนโลยีไอซีทีเข้ากับอุตสาหกรรมหลัก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ผลิตภัณฑ์และโซลูชันสำหรับองค์กรของหัวเว่ยในประเทศไทยได้เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมมากกว่า 10 แห่งในปีที่ผ่านมา รวมถึงเมืองอัจฉริยะ, การเงิน, พลังงาน, การขนส่ง, การบริการอินเทอร์เน็ต (ISP), การศึกษา, การรักษาพยาบาล และอสังหาริมทรัพย์ ความไว้วางใจและการสนับสนุนจากพันธมิตรคือรากฐานสำคัญของธุรกิจองค์กรของหัวเว่ย
ในปี 2564 หัวเว่ยมีพันธมิตรด้านการขายกว่า 800 ราย ด้านโซลูชันกว่า 40 ราย และพันธมิตรด้านการดำเนินงานกว่า 40 ราย รวมถึงพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมากกว่า 30 รายในประเทศไทย
ผลักดันการใช้คลาวด์รากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล
เมื่อการประมวลผลบนคลาวด์กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล หัวเว่ย คลาวด์ ได้เพิ่มการลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่องมานานกว่า 3 ปี และได้เสริมศักยภาพให้กับคู่ค้าในท้องถิ่นมากกว่า 300 ราย ในกว่า 15 อุตสาหกรรม รวมถึงภาครัฐ, การศึกษา, และการเงิน
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 หัวเว่ยได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูล Availability Zone แห่งที่ 3 ในกรุงเทพมหานคร
หัวเว่ย คลาวด์ เป็นผู้ให้บริการระบบคลาวด์ระดับสากลรายแรกที่มีศูนย์ข้อมูลถึง 3 แห่งในไทย ด้วยการบริการที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
จากรายงานของการ์ทเนอร์ระบุว่า หัวเว่ย คลาวด์ มีส่วนแบ่งการตลาดใหญ่เป็นอันดับสามในไทย และยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดคลาวด์
รายงานการสำรวจจากตัวแทนอิสระในปี 2564 เผยว่าการรับรู้ของสาธารณชนในประเทศไทยเกี่ยวกับ หัวเว่ย คลาวด์ เพิ่มขึ้นถึง 70% ร่วมสนับสนุนประเทศไทยในการสร้างอีโคซิสเต็มสตาร์ตอัพที่กำลังเติบโตและพัฒนาธุรกิจยูนิคอร์น ด้วยการเปิดตัวการแข่งขัน “Spark-Ignite” เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเข้าถึงสตาร์ทอัพกว่า 1,700 รายและมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมถึง 132 ราย
Green Tech
การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดประเด็นหนึ่ง ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางของคาร์บอน
เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ หัวเว่ยจัดตั้งหน่วยธุรกิจดิจิทัล พาวเวอร์ ให้บริการในไทยเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ช่วยพัฒนาพลังงานสะอาดและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของภาคพลังงานเพื่อสร้างสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ข้อมูลจากรายงานของ IHS Markit และ Wood Mackenzie เปิดเผยว่า เซลล์แสงอาทิตย์อัจฉริยะของหัวเว่ยครองอันดับ 1 ในตลาดโลกต่อเนื่องกันเป็นเวลา 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 และโซลูชันนี้ยังครองส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
นอกเหนือจากการสร้างความสำเร็จทางธุรกิจ หัวเว่ยยังมุ่งมั่นที่จะมอบสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคมและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนที่เราทำธุรกิจ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 หัวเว่ยส่งมอบเทคโนโลยี 5G สำหรับการแพทย์ระยะไกล (telemedicine), อุปกรณ์ของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน, และโซลูชันระบบคลาวด์ให้กับโรงพยาบาลและชุมชนต่าง ๆ ในประเทศไทย และลงนามบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงแรงงานเพื่อส่งเสริมการจ้างงานกลุ่มผู้พิการ และเสริมศักยภาพของผู้เชี่ยวชาญด้านไอซีทีกว่า 41,000 คนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
กลยุทธ์ ปี 2565 ของหัวเว่ยในไทย
หัวเว่ย วางแผนลงทุนในประเทศไทย 4 ด้านหลัก
- ประการที่ 1 เติมเต็มการใช้งาน 5G ด้วยการเชื่อมต่อที่แพร่หลาย
- ประการที่ 2 สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลบนคลาวด์
- ประการที่ 3 กระตุ้นการเปลี่ยนผ่านสู่วิถีชีวิตคาร์บอนต่ำด้วยดิจิทัล พาวเวอร์
- ประการที่ 4 เสริมศักยภาพผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
ขับเคลื่อน 5G
5G กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไอซีที และการคาดการณ์ร่วมกันของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ONDE), Time Consulting และหัวเว่ยว่า ภายในปี พ.ศ. 2578 มูลค่าเศรษฐกิจที่รองรับเทคโนโลยี 5G จะสูงถึง 2.3 ล้านล้านบาท คาดการณ์โดยประมาณคิดเป็น 10% ของมูลค่าจีดีพีทั้งหมด
หัวเว่ยจึงวางแผนขยายการใช้งาน 5G ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ในปี 2565 หัวเว่ย หวังว่า 5G จะครอบคลุม 70% ของจำนวนประชากร และอัตราการเข้าถึง 5G จะเพิ่มเป็น 20% จาก 10% ในปัจจุบัน ตามอัตราความพร้อมที่สูงถึง 16% ของทฤษฎีการแพร่กระจายนวัตกรรม
ในการร่วมมือกับลูกค้า หัวเว่ยจะสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่ความผู้นำในภูมิภาคอาเซียนด้านการปรับใช้ 5G ในอุตสาหกรรมแนวดิ่งอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2565 จะเปิดตัวโรงพยาบาล 5G, รถพยาบาล 5G, และโซลูชัน AI ในโรงพยาบาล 20 แห่ง นอกจากนี้จะสร้างมาตรฐานใหม่ 3 ด้านในเมือง 5G (5G City) เพื่อรองรับการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย สอดรับกับนโยบายดิจิทัลของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เราวางแผนติดตั้ง 5G ในโรงงาน 100 แห่งใน EEC รวมถึงโรงงานประกอบรถยนต์ 5G
สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลบนคลาวด์
ตามรายงานของ Deloitte อัตราส่วนการใช้งานคลาวด์เป็นดัชนีชี้วัดสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล จากปี 2564 ถึงปี 2565 การเติบโตด้านการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ของบริษัทในไทยเพิ่มจาก 59% เป็น 78% และเราภูมิใจที่ หัวเว่ย คลาวด์ เป็นผู้ให้บริการคลาวด์เพียงรายเดียวในประเทศไทยที่มีศูนย์เก็บข้อมูลในพื้นที่ถึง 3 แห่ง และการเปิดตัวศูนย์เก็บข้อมูลแห่งที่สาม Available Zone (AZ) ในเดือนมีนาคมนี้
ในปี 2565 หัวเว่ย คลาวด์ วางแผนเปิดตัวบริการด้านซอฟต์แวร์คลาวด์ (SaaS) ใหม่กว่า 80 รายการ เพื่อสนับสนุนธนาคาร, SMEs, และผู้ให้บริการเนื้อหา Over-the-top (OTT) ในการนำระบบคลาวด์มาใช้เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
เมื่อเร็ว ๆ นี้ หัวเว่ยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงดิจิทัล เพื่อต่อยอดความร่วมมือด้านคลาวด์และสนับสนุนความก้าวหน้าของเศรษฐกิจและสังคมไทย เรายังคงสนับสนุนบริการคลาวด์สำหรับภาครัฐ (Government Cloud Service) และยกระดับความปลอดภัยของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2565 หัวเว่ยวางแผนจัดการประชุมสุดยอด “Huawei Cloud and Connect” โดยมีผู้นำในอุตสาหกรรมกว่า 4,000 รายเพื่อรับฟังข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยสร้างสรรค์และจุดประกายทางความคิดร่วมกัน
สู่วิถีชีวิตคาร์บอนต่ำด้วย ดิจิทัล พาวเวอร์
หัวเว่ยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล พาวเวอร์ อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลในด้านพลังงาน ในทศวรรษหน้า ความเปลี่ยนแปลงความต้องการด้านพลังงานของประเทศไทยจะทำให้จีดีพีเติบโตขึ้นประมาณ 1%
ปี 2565 นับเป็นปีสำคัญ เพราะเป็นปีเริ่มต้นของการประกาศแผนงานความเป็นกลางทางคาร์บอน ปี 2593 ของประเทศไทย หัวเว่ยให้คำมั่นที่จะสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นผู้นำนโยบายคาร์บอนต่ำในภูมิภาคอาเซียน และมั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยผลิตภัณฑ์และโซลูชันดิจิทัล พาวเวอร์ของหัวเว่ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมพลังงาน พนักงานด้านวิจัยและพัฒนาเฉพาะด้านกว่า 6,000 คน รวมถึงการจัดสรรเงินทุน 20% จากรายได้ทั้งหมดในปีที่ผ่านมา สำหรับด้านการวิจัยและพัฒนา
ในปี 2564 ได้จัดตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสำหรับธุรกิจดิจิทัล พาวเวอร์ขึ้นที่กรุงเทพมหานคร
ในปี 2565 ธุรกิจ ดิจิทัล พาวเวอร์ ของหัวเว่ย จะเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศไทย เช่น ผลิตภัณฑ์อินเวอร์เตอร์ไฟฟ้าพร้อมโซลาร์เซลล์อัจฉริยะรุ่นใหม่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และในช่วงครึ่งปีหลัง
“เราวางแผนเปิดตัวแท่นชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับและแท่นชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงประสิทธิภาพสูงสำหรับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า”
พัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล
สิ่งที่เป็นรากฐานของการสร้างสรรค์นวัตกรรม คือ การพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านนวัตกรรมและการพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลรุ่นใหม่ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีธุรกิจยูนิคอร์นใหม่ 2 แห่ง ซึ่งต่างมีมูลค่าบริษัทรวม 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หัวเว่ยในฐานะผู้นำเชิงรุกในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลที่มุ่งตอบแทนสังคม
- หัวเว่ยมุ่งมั่นลงทุนอย่างต่อเนื่องในศูนย์เรียนรู้อีโคซิสเต็มเชิงนวัตกรรม 5G (5G Ecosystem Innovation Center) เพิ่มจำนวนพันธมิตรจาก 70 รายเป็น 120 รายในปีนี้
- การพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรของหัวเว่ย คลาวด์จะเติบโตอย่างรวดเร็วและคาดว่าจำนวนพันธมิตรจะเพิ่มขึ้นจาก 300 เป็น 500 ราย
- หัวเว่ยมุ่งสานต่อโครงการ Huawei Cloud Spark อย่างต่อเนื่องสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมและสตาร์ทอัพในประเทศไทย ช่วยเสริมศักยภาพนักพัฒนาโปรแกรมมากกว่า 2,000 รายและสตาร์ตอัพจำนวน 300 รายต่อเนื่องทุกปี
- สำหรับการสร้างผู้เชี่ยวชาญทางดิจิทัลรุ่นใหม่ มุ่งขยาย Huawei ASEAN Academy, Seeds for the Future Program ซึ่งเป็นโครงการฝึกอบรมร่วมกับมหาวิทยาลัย 23 แห่ง เพื่อปลูกฝังการเรียนรู้ให้กับบุคลากรผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลถึง 20,000 คนในปี 2565
“เส้นทางข้างหน้ายังคงยาวไกลและเต็มไปด้วยความท้าทาย เราจะร่วมสร้างอนาคตที่สดใส ผมให้คำมั่นสัญญาว่าเราพร้อมให้บริการลูกค้าและสังคมไทยอย่างต่อเนื่องในการเดินทางสู่ยุคดิจิทัล”
ผลการดำเนินงานหัวเว่ยทั่วโลกปี 2564
แม้ว่าจะมีความกดดันจากปัจจัยภายนอก แต่หัวเว่ยก็ทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สถานะทางการเงินของบริษัทมีเสถียรภาพ สามารถลงทุนเพื่ออนาคตและรับมือกับความผันผวนได้อย่างมั่นคง กระแสเงินสดของเราเพิ่มขึ้น 75.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลกำไรจากธุรกิจหลักของเราเติบโตขึ้น ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและรับความผันผวนทางธุรกิจได้
หัวเว่ยยังคงลงทุนในด้านนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนา และในปี 2564 การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาคิดเป็น 22.4% ของรายได้ทั้งหมดของหัวเว่ย ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ในปี 2564 หัวเว่ยได้อันดับที่สองของการจัดอันดับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป และภายในสิ้นปี 2564 หัวเว่ยถือครองสิทธิบัตรอยู่มากกว่า 110,000 ฉบับ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่มากที่สุดในระดับโลก
ในอนาคตข้างหน้านี้ หัวเว่ยได้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสร้างสังคมความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจและลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนการแบ่งปันข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลก เพิ่มความเปิดกว้างทางความคิด ต่อยอดนวัตกรรม และสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ จากทั่วโลก หัวเว่ยมุ่งปรับปรุงทฤษฎีพื้นฐาน สถาปัตยกรรม และซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการแข่งขันในระยะกลางและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาวพร้อมกัน
เมื่อเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างคาร์บอนต่ำจะเป็นก้าวใหม่สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน
ที่ผ่านมานับว่าทรัพยากรบุคคล การเงิน และวิถีการดำเนินธุรกิจของหัวเว่ยมีเสถียรภาพและสามารถรองรับการพัฒนาในอนาคตได้