Share on

[seed_social]

นูทานิคซ์ ส่ง Nutanix Cloud Platform เปิดเกมรุก Cloud Native Application

นูทานิคซ์ ส่ง Nutanix Cloud Platform เปิดเกมรุก Cloud Native Application

สิงหาคม 2024 เป็นอีกเดือนที่โดดเด่นของ Nutanix (นูทานิคซ์) ผู้ให้บริการระบบแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับ องค์กรที่เน้นความง่ายและเปิดกว้างในการจัดการ โดย Nutanix ได้ประกาศผลประกอบการเกินความคาดหมายด้วยรายได้ 548 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขเติบโตกลม ๆ 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

การเรียกเก็บเงินแบบสัญญารายปีหรือ ACV ที่เพิ่มขึ้น 21% เป็น 338 ล้านเหรียญสหรัฐ และสถิติรายได้ประจำปีที่เกิดขึ้นซ้ำเพิ่มขึ้น 22% นั้นแปลว่าลูกค้าเดิมของ Nutanix ยังเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนค่ายไปไหน สถิติเหล่านี้จึงนับเป็นอีกหลักไมล์ความสำเร็จของ Nutanix ที่ใช้เวลา 7 ปีในการเข้าตลาดหุ้น Nasdaq เมื่อปี 2016 จากเดิมที่เป็นสตาร์ตอัพด้านเซิร์ฟเวอร์เสมือนในช่วงเริ่มก่อตั้งบริษัทปี 2009 บริษัทได้พัฒนาตัวเองไปสู่การให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับองค์กร

ล่าสุด บริษัทวางเป้าหมายเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์หนึ่งเดียวที่สามารถรองรับหรือรันงานแอปพลิเคชันสมัยใหม่ได้ทุกเวิร์กโหลด และทุกชนิดของดาต้า ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มากในโลกปัจจุบันที่องค์กรส่วนใหญ่หวังจะพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็นคลาวด์เนทีฟ (Cloud Native)

Nutanix เน้นไฮบริดมัลติคลาวด์ชัดเจนกว่าที่ผ่านมา

สุรักษ์ ธรรมรักษ์ ผู้จ้ดการฝ่ายวิศวกรรมระบบของนูทานิคซ์ (ประเทศไทย) มองว่า ปัจจุบัน Nutanix สะท้อนภาพเทคโนโลยีเรื่องแอปพลิเคชันและความเป็นไฮบริดมัลติคลาวด์ได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะบุคลากรที่ทำงานอยู่ในสายวิศวกรรมระบบหรือ Engineer ที่จะต้องเรียนรู้เรื่องใหม่โดยเฉพาะเรื่อง Kubernetes (คูเบอร์เนทีส) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์แนวคิดการพัฒนาแอปพลิเคชันที่รวดเร็วและปลอดภัย หรือ DevSecOps (Dev = Developer · Sec = Security · Ops = Operation) และเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างแอปพลิเคชันยุคสมัยใหม่ที่เป็นเรื่องของคลาวด์เนทีฟแพลตฟอร์ม

“สุรักษ์ ธรรมรักษ์” นูทานิคซ์ จากช่างเทคนิค สู่ Pre-Sales มือโปร

“Nutanix ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการสร้างแอปพลิเคชันยุคสมัยใหม่ที่เป็นเรื่องของคลาวด์เนทีฟแพลตฟอร์ม นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ Nutanix กำหนดให้พนักงานทุกคนต้องมีความรู้และเข้าใจเรื่อง Kubernetes และ DevSecOps  หัวข้อที่เป็น Kubernetesเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมของ Nutanix ที่ทุกคนต้องเข้าใจจุดขาย คู่แข่ง วิธีการขาย ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่ Nutanix จะรวบมาให้ทั้งเซลส์และพรีเซลส์ได้รับสารในทิศทางเดียวกัน”

ในร่มของ Nutanix สุรักษ์สรุปว่าเซลส์ที่ “วิ่งด่านหน้า” ซึ่งมักถูกเรียกว่าเป็น Account Manager หรือคนที่เป็น Account Executive นั้นจะถูกประกบคู่ไปกับพรีเซลส์ที่ Nutanix เรียกว่า System Engineer ทั้ง 2 ตำแหน่งนี้ จะเข้าไปคุยกับลูกค้าองค์กรเพื่อสำรวจความต้องการ รวมถึงผลลัพท์ทางธุรกิจที่คาดหวัง เมื่อพรีเซลล์สามารถแปลออกมาเป็นโซลูชัน ก็จะมีการช่วยคิดแบบเซลส์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้โซลูชันที่คุ้มค่ากับต้นทุนมากที่สุด รวมถึงการให้ข้อมูลรอบด้าน ทั้งด้านเทคนิค และการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ถึงประโยชน์ที่เหนือกว่า

“จากที่สัมผัสลูกค้ามา พบว่ามีความต้องการตอบโจทย์โลกที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว ธุรกิจจำนวนมากถูกดิสรัปอย่างหนัก สิ่งที่ท้าทายของหลายองค์กรคือการปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของแอปพลิเคชัน ที่ไม่ใช่

เฉพาะโครงสร้างหรือ Infrastructure ดังนั้น สิ่งที่ลูกค้าเริ่มมองหาก็คือสิ่งที่จะเปลี่ยนแอปพลิเคชันขององค์กร”

สุรักษ์ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจธนาคาร ที่จะพบปัญหาแน่นอนหากระบบหลักหรือ Core Banking ไม่ยืดหยุ่นและไม่เปลี่ยนแปลงตามความต้องการ เนื่องจากตลาดกำลังเกิดบริการใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้ธุรกิจหลักของธนาคารเกิดการเปลี่ยนแปลง หลายธนาคารจึงมีการเปลี่ยนจุดยืนหรือ Transform ให้ตอบโจทย์ ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น ที่เห็นชัดคือธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ประกาศในงานประชุมกรุงศรีเทคเดย์ เรื่องโปรเจ็กต์จูปิเตอร์ ว่าจะปรับให้ Core Banking รองรับธุรกิจใหม่ได้ ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้คือความยืดหยุ่นของธุรกิจ และการตอบโจทย์ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น

“การปรับเปลี่ยนนี้ของธนาคารถือว่าใหญ่มากระดับมโหฬาร เพราะภายใต้ระบบ Core Banking ที่ทำหน้าที่ จัดการธุรกรรมด้านการเงินล้วนๆ จะมีแอปพลิเคชันที่อยู่รอบข้าง เช่น แอปพลิเคชัน ATM, แอปพลิเคชันด้าน การให้สินเชื่อ แอปพลิเคชันการฝากถอน พูดง่ายๆ คือมีบริการหรือ product ใหม่เกิดขึ้นมารอบด้าน สิ่งที่เรา ต้องทำก็คือทั้ง Core Banking และรอบข้างจะต้องเปลี่ยนสถาปัตยกรรมทั้งหมด เปลี่ยนรูปแบบของการจัดการ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของ Future Proof คือการเลือกใช้สถาปัตยกรรมแห่งอนาคตที่จะรองรับและเหมาะกับการเติบโตได้มากที่สุด”

สุรักษ์เชื่อว่านอกเหนือจากธนาคาร กลุ่มที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกันคือกลุ่มธุรกิจประกัน เนื่องจาก พฤติกรรมการซื้อขายประกันที่เปลี่ยนไป  หรือแม้กระทั่งธุรกิจค้าปลีก  ที่เห็นได้ชัดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ตอบโจทย์การซื้อขายออนไลน์ให้ได้ นอกจากนี้ยังมีภาคการผลิตที่ต้องพิจารณาการปรับใช้แมชชีนเลิร์นนิ่ง และปัญญาประดิษฐ์เข้ามาในสายพานการผลิตเพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นอัตโนมัติได้เหมาะสมและลดต้นทุนได้สูงสุด

Nutanix Cloud Platform

Cloud Native Application แอปพลิเคชันยุคล่าสุด

อีกการปรับเปลี่ยนที่สำคัญในมุมของแอปพลิเคชันคือคลาวด์เนทีฟ สุรักษ์อธิบายว่า Cloud Native Application คือสิ่งที่จะเปลี่ยนรูปแบบของการพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถขยายได้ตามต้องการ พูดให้ เข้าใจง่ายคือการทำให้แอปพลิเคชัน  “ไม่ตาย”  และรองรับงานที่เพิ่มขึ้นได้แม้จะไม่ได้คาดคิดมาก่อน  ซึ่งที่ผ่านมาแอปพลิเคชันยุคเก่ามักมีปัญหาระบบล่มเมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมากพร้อมกัน

“แอปพลิเคชันจองตั๋วแบบเก่าล่มเสมอเพราะว่าระบบหลังบ้านรับไม่ได้ ขยายไม่ได้ ดังนั้น นี่เป็นจุดอ่อน จึงต้องเปลี่ยนสถาปัตยกรรมให้อยู่ในรูปแบบใหม่ เพื่อรองรับเรื่องการขยายตัวบนสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่น”

สุรักษ์ชี้ว่า Dynamic Environment ของการพัฒนาแอปพลิเคชันในทุกวันนี้คือโลกของไฮบริดมัลติคลาวด์ ซึ่งสามารถทำงานได้ทั้งบนคลาวด์สาธารณะและคลาวด์ส่วนตัวขององค์กร โดยจะรันได้ในรูปแบบที่เป็น Hybrid Cloud ซึ่งอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ บนโครงสร้างหรือ Infrastructure ที่เป็นคอนเทนเนอร์ไลเซชั่น (Containerization)

“ความหมายของคอนเทนเนอร์ สามารถเทียบได้เหมือนคือการเปลี่ยนจากการสร้างระบบในรูปแบบใหญ่โต แบบยุคสมัยก่อน เช่น จากที่เคยสร้างเป็นบ้านเดี่ยวก็มีการเปลี่ยนมาเป็นคอนโดมีเนียม โดยเป็นเซอร์วิสเล็กๆ ที่กระจายเป็น Micro Service แล้วเชื่อมต่อส่งข้อมูลกันผ่าน API”

จุดเปลี่ยนหลักในโลกของการสร้างแอปพลิเคชันยุคใหม่เหล่านี้กำลังแพร่หลายทั่วโลก ข้อมูลจากการ์ทเนอร์ ระบุว่าภายในปี 2029 กว่า 95% ขององค์กรทั่วโลกจะย้ายแอปพลิเคชันจากที่เคยรันอยู่บนรูปแบบเดิม ๆ มาอยู่บน Containerization ทั้งหมด

“แทบทุกแอปในปี 2029 จะเปลี่ยนมาอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า Containerization ถือว่าเยอะมาก ส่วนแอปพลิเคชัน กลุ่ม Off the Shelf Application หรือผู้ที่ผลิตแอปพลิเคชันออกขาย พบว่า 80% ของกลุ่มนี้จะรันอยู่ภายใต้รูปแบบคอนเทนเนอร์ ซึ่งจะเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นรูปแบบเวอร์ชวลแมชชีน”

การที่ภาพรวมขององค์กรที่ทำธุรกิจดิจิทัลพร้อมใจมูฟไปที่ Container ทั้งหมด ทำให้เกิดความท้าทายที่กลุ่มบุคลากรไอที ซึ่งต้องพิจารณาและเรียนรู้ว่าสถาปัตยกรรมแบบไหนสามารถนำมาปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนให้รองรับการใช้งานรูปแบบใหม่เหล่านี้

แนวคิดการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Container

สุรักษ์เล่าถึงหลักการของ Container ว่าสามารถอธิบายได้ด้วยการนึกภาพพื้นที่ 1 ไร่ แต่เดิมในอดีต พื้นที่ 1 ไร่นี้อาจถูกนำมาสร้างเป็นบ้านเดี่ยว ซึ่งจะเทียบได้กับการสร้าง 1 แอปพลิเคชันต่อ 1 เซิร์ฟเวอร์ โดยมีซีพียู คุณภาพสูงให้บริการแบบหนึ่งต่อหนึ่ง และอาจจะมี 8 CPU อยู่ภายใน รวมถึงหน่วยความจำ 32GB แต่บังเอิญว่า ผู้อาศัยในบ้านเดี่ยวนี้มีจำนวนไม่เท่ากัน เช่น 2 คนหรือ 4 คนต่อบ้าน ทำให้การใช้ประโยชน์เกิดขึ้นเพียงบางส่วน และอาจมีพื้นที่เหลือที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ที่สำคัญ หากบ้านนี้เกิดไฟไหม้ ทุกอย่างก็อาจจะลุกลามจนหมดไม่มีเหลือ

“อันนี้คือหลักการ ก่อนหน้านี้เราเรียกว่า Virtual Machine ซึ่งก่อนหน้านี้ตอบโจทย์ในยุคที่มี Physical Server แต่ในยุคถัดมา เรามีคอนโดมิเนียมซึ่งภายในมีพื้นที่เล็กๆ มากมายในพื้นที่เท่ากัน ซึ่งอาจทำให้มีพื้นที่ใช้ประโยชน์มากขึ้น และในห้องเล็กๆ นี้เรียกว่า Container ภายใต้ห้องเล็ก ๆ นี้ จาก 8 CPU อาจจะลดลงเหลือ 1 VPU (Virtual Processing Unit) แต่บางห้องอาจจะมีหน่วยความจำไม่เท่ากัน”

สุรักษ์อธิบายต่อว่า Container หรือห้องเหล่านี้ทำให้เกิดการแบ่งปันทรัพยากรระบบซึ่งเทียบได้กับระบบไฟฟ้า หรือระบบน้ำที่เป็นมิเตอร์รวมในคอนโดมิเนียม และเมื่อห้องจำนวนมากขึ้น ระบบจำเป็นต้องมีส่วนควบคุมในลักษณะเดียวกับนิติบุคคลของคอนโดมีเนียม และนั่นคือคูเบอร์เนทีส (Kubernetes) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับโครงสร้างเพื่อทำคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน

คลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชันคือแอปพลิเคชันที่รันบนคลาวด์แบบใดก็ได้ หากเป็นการวางที่พลับลิคคลาวด์ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นคือการเข้าถึงง่าย ดังนั้นผู้ที่นิยมคือฝั่งทีมพัฒนา อย่างไรก็ตาม สุรักษ์ชี้ว่าระบบที่ต้องการ ระดับความปลอดภัยของข้อมูลสูง เช่น Core Banking หรือองค์กรที่ถือสิทธิบัตรเทคโนโลยี มักจะมุ่งไปที่ไพรเวทคลาวด์

สุรักษ์เล่าย้อนว่า Container มีพัฒนาการต่อเนื่องตั้งแต่ยุคยูนิกซ์ซิสเต็ม (UNIX) และคำว่า Container เพิ่งถูกพูดถึงประมาณปี  2002-2004  โดยมีการใช้รากฐานโครงสร้างเดียวกัน  และต่างจากเวอร์ชวลแมชชีนที่ไม่มีการแชร์ทรัพยากร (ยังครอบครองทรัพยากร แบ่งส่วนเฉพาะหน่วยประมวลผล) ซึ่งแม้จะมีความต้องการให้แอปพลิเคชันสามารถรันได้ทุกที่  แต่การเขียนโปรแกรมในยุคนั้นยังมีข้อจำกัด  โดยเฉพาะความหลากหลายของ ภาษาจาวา ทำให้ความต่างของแต่ละเวอร์ชันเป็นข้อจำกัดให้ไม่สามารถรันได้ทุกที่

แต่ในที่สุดหลักการ Container ได้แพร่หลายอีกครั้งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับที่แนวคิด Platform as a service ถูกแจ้งเกิดเพื่อช่วยลดภาระให้นักพัฒนาไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่า และเน้นให้ความสำคัญที่การเขียน โปรแกรมเท่านั้นเพราะระบบจะสามารถจัดการทรัพยากรให้ เวลานั้นเองที่ Container เริ่มแจ้งเกิดบนเครื่อง สถาปัตยกรรม X86 เพียงแต่ในยุคนั้นยังไม่สามารถควบคุมได้

ในอีกด้าน ธรรมชาติของแอปพลิเคชันยุคเก่าที่รวมหลายฟีเจอร์ไว้ภายใน 1 แอปพลิเคชัน ยังมีความเสี่ยงใน กรณีที่พบปัญหา เนื่องจากทุกฟีเจอร์อาจจะล่มทั้งหมด จึงมีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็นรูปแบบใหม่ เพื่อแยกเป็นไมโครเซอร์วิส ซึ่งการแยกบริการจะทำให้บางเซอร์วิสยังทำงานได้แม้บางส่วนจะพบปัญหา

“ฝั่ง DevOps นั้น รูปแบบการพัฒนาไมโครเซอร์วิสเพิ่งจะเริ่มได้รับความนิยมช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เป็นการ พัฒนาแบบใหม่ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ว่าจะต้องใช้เทคนิคการออกแบบเพื่อแยกบริการ และกำหนดให้หน้ากากที่ทุกคนใช้บริการต้องอยู่บนคลาวด์ เพื่อให้เข้าใช้งานได้ง่ายที่สุด และมีความปลอดภัย ทั้งหมดนี้ สิ่งที่เห็นคือ ยอดภูเขา เพราะก่อนจะทำให้แอปทำงานได้ตามที่ต้องการ จะต้องมีการจัดการทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับการขยายและการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน และวันนี้คนไอทีบางคนยังไม่เข้าใจ เพราะเทคนิคการจัดการต่างจากยุคเก่า”

Nutanix วางบทบาท “ตัวช่วยโอเพ่นซอร์ส”

ด้วยเทคนิคการจัดการฮาร์ดแวร์และการรับส่งข้อมูลที่ไม่เหมือนเดิม Nutanix อาสาเป็นตัวช่วยให้การจัดการ ทำได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น โดยจากที่ Kubernetes เป็นโอเพ่นซอร์สที่องค์กรใดสามารถหยิบเอามาใช้ได้ Nutanix จะรวบรวมเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในตลาด ให้เป็นแพคเกจและทำการซับพอร์ตให้ ทำให้ลดการอัปเดตเวอร์ชั่นที่ทำได้ยากเมื่อมีซอฟต์แวร์จำนวนมาก และสร้างความแน่ใจได้ว่าเครื่องมือทุกอย่างยังมีคนดูแล

“แอปพลิเคชันที่เป็นคลาวด์เนทีฟจะไม่มีการหยุดการพัฒนา ต้องมีฟังก์ชั่นใหม่ออกมาเสมอ นี่คือเซอร์วิสของ Nutanix องค์กรที่จะสร้างคลาวด์เนทีฟแอป นั้นต้องการห้อง และตัวควบคุมห้องเหล่านี้ เชื่อว่าแพลตฟอร์มนี้จะยังเป็นสินค้าเรือธงของ Nutanix ต่อไปอีกหลายปี ตอนนี้ลูกค้าขอทดสอบกันมาก”

การเปลี่ยนแปลงในวงการผลิตแอปพลิเคชันนี้ไม่เพียงสะท้อนความจำเป็นในการอัพสกิลและรีสกิลของคนไอที แต่องค์กรที่ต้องการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบโอเพ่น จะเน้นเรื่องการไม่ผูกกับค่ายใด เพื่อให้สามารถย้ายแอปพลิเคชันขึ้นมาอยู่บนคลาวด์ที่เหมาะสมได้อย่างยืดหยุ่น สำหรับคนไอที การแบ่งยุคสมัยของคนไอทีนั้นจะไม่มีเส้นขีดที่ชัดเจน เนื่องจากทุกอย่างมีการพัฒนาตลอดเวลา และหากไม่ติดตาม คนไอทีคนนั้นอาจก็จะหลุดสมัยไป แต่สำหรับองค์กร Nutanix พบว่า ทั้งบนออนพริมิสหรือไพรเวทคลาวด์ องค์กรวันนี้กำลังมองหาโอเพ่นซอร์สในการทำคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน เพื่อตอบโจทย์การใช้มัลติคลาวด์อย่างแท้จริง

อุตสาหกรรมที่ประเดิมใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันแล้วในประเทศไทย คือธนาคาร ขณะที่กลุ่มค้า ปลีกได้เริ่มปรับใช้บางส่วน  นอกจากนี้  กลุ่มซึ่งเริ่มวางงบประมาณและวางแผนพร้อมใช้คือบริษัทด้านสินเชื่อและประกัน

“ต้องบอกว่าทุกอุตสาหกรรมกำลังเริ่ม แต่ที่ยังน้อยคือโรงงาน และกลุ่มโทรคมนาคมที่ไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารยังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือพัฒนาแอปพลิเคชันจากการใช้เครื่องมือราคาสูงทั้งหมด มาเป็นการจัดลำดับความสำคัญของบริการ เพื่อนำบริการที่สร้างรายได้มาอยู่บนเครื่องมือราคาสูงและมีการสนับสนุนเข้มข้น ขณะเดียวกันก็จะแบ่งบริการกลุ่มรอง หรืองานภายในให้อยู่บนเครื่องมือทางเลือกที่มีราคาจับต้องได้ ซึ่งนูทานิคซ์อยู่ในกลุ่มเครื่องมือโอเพ่นซอร์สด้วยราคาที่เหมาะสม ไม่แพงไปกว่าที่ควรจะเป็น”

เบื้องต้น สุรักษ์ยอมรับว่า Nutanix เป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาด DevSecOps ดังนั้นบริษัทจึงวางเป้าหมายที่ กลุ่มตลาดระดับกลาง โดยการพูดคุยกับองค์กรรายใหญ่ จะมุ่งนำเสนอเครื่องมือไปที่บริการกลุ่มที่มีความ สำคัญรองลงมา (Tier 2-3 ขึ้นไป)

โฟกัสที่ Value Chain

จากต้นกำเนิดของ Nutanix ที่เชี่ยวชาญด้านเวอร์ชวลไลเซชั่นและไพรเวทคลาวด์ การหันมาสร้างแพลตฟอร์ม เพื่อ DevSecOps ของ Nutanix นั้นเป็นความเคลื่อนไหวที่เพิ่งเริ่มต้นก่อร่าง เพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้า และขยายศักยภาพของ Nutanix ในตลาดการพัฒนาแอปพลิเคชัน

“การเข้ามาในตลาด DevSecOps ของ Nutanix ถือเป็นกลยุทธ์ล่าสุดในการตอบความต้องการของลูกค้าที่ กว้างขึ้นกว่าเดิม เนื่องจาก Nutanix ต้องการเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งเดียว ที่สามารถรันได้ทุกเวิร์กโหลด ทุกแอป

ทุกขนิดของดาต้า ได้ทุกที่ นั่นคือคลาวด์ที่รันได้ทุกที่ และเป็นอินฟราสตรัคเจอร์ที่อยู่ได้ทุกที่ ทั้งบนออนพริมิส ดาต้าเซ็นเตอร์หลายประเภท  รวมถึงเอดจ์  เพราะเป็นการเติมเต็มความต้องการบนระบบดาต้าเซ็นเตอร์ดั้งเดิมที่เคยใช้อยู่ให้รอบด้านและขยายความสามารถยิ่งกว่าเดิม”

Nutanix มั่นใจว่าบริษัทเป็นระบบเบอร์ 1 ของโลกด้านการทำเวอร์ชวลแมชชีน และการใช้ซอฟต์แวร์สร้าง สถาปัตยกรรมที่ขยายได้ นอกจากนี้ Nutanix ยังมีจุดเด่นเรื่อง “ความโอเพ่น” ของ Container services ขณะเดียวกันก็มีแพลตฟอร์ม Kubernetes ที่รองรับระบบของค่ายโอเพ่นซอร์สอื่นได้แบบยืดหยุ่นและพร้อมใช้  โดยเฉพาะดาต้าเบสที่สามารถใช้เครื่องมือจัดการได้รอบด้านในเวลาที่เร็วขึ้น

ลดความยุ่งยากของกระบวนการพัฒนาแอปพลิเคชันภายในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัยหลายขั้น

“การพัฒนาแอปพลิเคชันบน Nutanix จึงง่ายขึ้นมาก และผู้ใช้ทั่วไปสามารถทำงานได้เร็ว

ผลักดัน Nutanix Cloud Platform ในประเทศไทย

ทิศทางของ Nutanix ในปีนี้ จะเน้นบริการหลัก คือ Nutanix Cloud Platform โดยจะอิงตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เราจะทำความเข้าใจลูกค้าว่าต้องการอะไร และจะนำเสนอเครื่องมือตามความต้องการนั้น ทำให้องค์กรใช้งบประมาณลงทุนเฉพาะที่ต้องการ”

Nutanix เชื่อว่าตลาดการพัฒนาแอปพลิเคชันสมัยใหม่นั้นใหญ่มากจนประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ เนื่องจากทุก องค์กรกำลังขยับตามกระแสปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม ปัญญาประดิษฐ์นั้นปัจจุบันยังจำกัดที่ “การสอนให้รู้จัก” เท่านั้น และบางองค์กรยังเข้าใจผิดว่าใช้ AI ในการทำธุรกิจแล้ว ทั้งที่ไม่มีการเทรนข้อมูลขององค์กรเอง ดังนั้น Nutanix จึงมุ่งให้ความรู้องค์กร ให้เข้าใจว่า AI ไม่มีทางเริ่มที่เวอร์ชวลแมชชีน แต่จะต้องเริ่มที่คลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นภาวะตลาดขยายตัวก้าวกระโดด ตามที่หลายองค์กรตื่นตัวในการเปลี่ยนแปลง

ความมั่นใจนี้เกิดขึ้นเพราะความต้องการของลูกค้ากลุ่มประกัน  Nutanix  ชี้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องการลงทุน ทำให้ไม่มีแอปพลิเคชันที่ทำงานได้เต็มรูปแบบเหมือนที่กลุ่มธนาคารมี และตัวผลักดันตลาดนี้ไม่ใช่ AI หรือโครงสร้างพื้นฐานอย่างคลาวด์ แต่เป็นพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ต้องการทำธุรกรรมทุกอย่างได้ทุกที่ตลอดเวลา

“ถ้าวันนี้เราต้องไปทำธุรกรรมที่สาขา  เราก็อาจจะไม่ใช้แบงก์นั้นเลย  ธนาคารไหนไม่มีโมบายล์แบงก์กิ้ง  ผู้ใช้อาจจะตัดสินใจย้ายโดยไม่ต้องดูอัตราดอกเบี้ย เพราะพฤติกรรมจริงๆ”

สำหรับปีนี้ Nutanix หวังผลักดัน Nutanix Cloud Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่พร้อมตอบโจทย์ทุกงานที่เกิดขึ้นในดาต้าเซ็นเตอร์สมัยใหม่ ทั้งคลาวด์เนทีฟ ปัญญาประดิษฐ์ แมชชีนเลิร์นนิ่ง การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะตอบโจทย์และรันได้ไปควบคู่กับระบบงานเก่า  โดยไม่ต้องแยกระบบไปหลายแพลตฟอร์ม  ทำให้ไม่ต้องใช้ความเขี่ยวชาญ หลายแพลตฟอร์ม และยังตอบโจทย์ไฮบริดมัลติคลาวด์ของหลายค่าย แม้แต่บน Bare Metal เครื่องเปล่า และ VMWare ที่ปรับใช้ได้ทั้งหมดกับทรัพยากรที่บริษัทมีอยู่

“เราตั้งเป้าให้ลูกค้าปลดล็อกจากทุกเวนเดอร์ ให้ปรับใช้โอเพ่นซอร์สซิสเต็มได้มากที่สุด และรันงานตามที่ ต้องการ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพขององค์กรได้มากที่สุด”

เมื่อถามถึงขนาดธุรกิจของ  Nutanix  สุรักษ์บอกว่าการเปรียบเทียบส่วนแบ่งตลาดนั้นไม่สามารถทำได้เพราะตลาดของ Nutanix มีหลายมุมมอง เนื่องจากการเป็นแพลตฟอร์มทำให้บริการ Nutanix ประกอบด้วยหลายส่วนธุรกิจ ทั้งคลาวด์อินฟราสตรัคเจอร์, Kubernetes และแม้ส่วนเก็บข้อมูล โดยรายได้หลักของบริษัทในปัจจุบันมาจากค่าไลเซนส์ของแพคเกจซอฟต์แวร์ที่ลูกค้าเลือกใช้ตามความต้องการ

สำหรับการลงทุนในตลาดไทย Nutanix พบว่าองค์กรไทยบางแห่งจำเป็นต้องลงทุนเพื่อลดต้นทุนเดิม โดย เฉพาะองค์กรที่รันคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน โดยทุกวันนี้ หลายบริษัทต้องจ่ายต้นทุนเพิ่มสูงมาก เพราะมีผู้ใช้จำนวนมาก แต่รายได้ที่เกิดขึ้นจากแอปนั้นไม่สมดุลย์กับค่าใช้จ่ายในการพัฒนา ซึ่งการติดลบในเรื่องของเครื่องมือในการพัฒนาและการลงทุนด้านโครงข่าย ทำให้เกิดความต้องการย้ายแอปพลิเคชันไปอยู่บนคลาวด์รูปแบบอื่นที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า และการย้ายจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่ออยู่บนโอเพ่นซอร์สที่เปิดกว้าง

ที่สุดแล้ว การสร้างแอปพลิเคชันสมัยใหม่ก็จะไม่เจอทางตัน แถมยังผลักดันให้โลกแพลตฟอร์มคลาวด์ และ จักรวาลเซิร์ฟเวอร์เสมือนมีคุณค่าและรองรับทุกงานได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Air Canada ผลักดันท่องเที่ยวรักษ์โลก เปิดไฟลท์บินตรง กรุงเทพฯ-แวนคูเวอร์ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน

NT – OneWeb พร้อมเปิดบริการ SNP Gateway ม.ค. 68 เน็ตผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน