ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดของอุตสาหกรรมสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย กลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศพลิกโฉมภาพลักษณ์แบรนด์ครั้งสำคัญเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดด้านการรับรู้เดิม ๆ และเปิดประตูต้อนรับผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ “RAM 2.0, The New Era of Ram Hospital Group”
คณะผู้บริหารกลุ่มโรงพยาบาลฯ ระบุว่า การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ต้องการสื่อสารถึงความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ครอบคลุมในทุกมิติของชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับประสบการณ์การรักษาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับภูมิภาค (Medical Hub) และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสุขภาพของประเทศในอนาคต
ปรับภาพลักษณ์เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
นพ.พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริหารบริษัท กลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน)เล่าถึงที่มาของการรีแบรนด์ครั้งนี้ว่า กลุ่มโรงพยาบาลฯ มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ แต่การรับรู้จากสาธารณชนอาจยังจำกัดอยู่ที่ภาพลักษณ์โรงพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุ
“เรามีความท้าทายด้านการรับรู้ หลายคนมองว่าเราเชี่ยวชาญแต่โรคผู้สูงอายุ แต่จริง ๆ แล้ว เราดูแลโรคของคนรุ่นใหม่ได้ครอบคลุม เช่น โรคหู คอ จมูก ที่คนสมัยนี้เป็นภูมิแพ้หรือไซนัสมากขึ้น โรคเด็ก สูตินรีเวช เช่น ปวดประจำเดือน ช็อกโกแลตซีสต์ เนื้องอก หรือโรคสมองที่ไม่ใช่แค่สมองเสื่อม แต่รวมถึงไมเกรนด้วย” นพ. พิชญ กล่าว
การรีแบรนด์ครั้งนี้มุ่งปรับรูปโฉมแบรนด์และการสื่อสาร เพื่อให้ผู้คนรับรู้ว่ากลุ่มโรงพยาบาลฯ ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้สูงอายุ แต่พร้อมรองรับคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์
“ปัจจุบัน การมาโรงพยาบาลไม่ใช่แค่รักษาโรค แต่เป็นเรื่องประสบการณ์ที่ต้องสะดวกสบาย แต่ละคนมีความต้องการด้านสุขภาพไม่เหมือนกัน การรักษาต้องเป็นการตัดสินใจร่วมระหว่างแพทย์และคนไข้ โดยมีทางเลือกพร้อมข้อดีข้อเสียให้พิจารณา” นพ. พิชญ อธิบาย
“เราอยากให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าโรงพยาบาลเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่แค่สถานที่รักษาเมื่อเจ็บป่วย”
ปัจจุบัน กลุ่มโรงพยาบาลฯ มีสัดส่วนคนไข้รุ่นใหม่เกิน 30% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการยกระดับการรับรู้และสร้างความผูกพันเพื่อให้คนไข้เหล่านี้เป็นลูกค้าประจำในระยะยาว
“ถ้าเราดูแลเขาดีตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เขาจะอยู่กับเราไปจนถึงวัยกลางคนและสูงวัย ถ้าภาพลักษณ์ยังถูกมองว่าเป็นโรงพยาบาลคนแก่ คนรุ่นใหม่อาจรู้สึกว่าไม่ใช่ที่ของเขา”
นพ.พิชญ กล่าวว่า เป้าหมายของเรามากกว่าแค่การเป็นศูนย์การแพทย์ครบวงจร แต่คือการยกระดับมาตรฐานสาธารณสุขของไทย พร้อมมุ่งเน้นการดูแลคุณภาพชีวิต (Well-being) ผ่านการแพทย์เชิงป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟู เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยความพร้อมของเครือข่ายโรงพยาบาลพันธมิตร
ชั้นนำ จึงเชื่อมั่นว่าการก้าวไปข้างหน้าครั้งนี้ และการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ชั้นนำของภูมิภาคที่มีศักยภาพดึงดูดผู้เข้ารับบริการจากทั่วโลกอันเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหงและบริษัทในเครือ กล่าวว่า การรีแบรนด์เปรียบเสมือน “การเปิดบ้านต้อนรับ” เพื่อให้ผู้คนรู้จักตัวตนและจุดยืนของกลุ่ม
“ผู้คนรู้จักกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง แต่ถ้าไม่ได้มาใช้บริการ อาจไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง เราอยากให้คนรุ่นใหม่ที่ต้องการสถานที่สวยงาม อาหารอร่อย และประสบการณ์ที่ดี รู้สึกว่าโรงพยาบาลของเราตอบโจทย์” ดร.ฤกขจี เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับประสบการณ์โดยรวมของผู้ใช้บริการ
ยุทธศาสตร์ RAM 2.0 มุ่งสู่ Medical Hub
คุณฤกขจี กล่าวว่า เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมสุขภาพและกลุ่มผู้ใช้บริการคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น จึงได้วางกลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ “RAM 2.0, The New Era of Ram Hospital Group” ซึ่งต่อยอดจากความเชื่อของผู้ก่อตั้งเข้ากับแนวทางการดำเนินงานยุคใหม่ คือ
- Clinical Excellence: ยกระดับขีดความสามารถทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีและบุคลากรระดับแนวหน้า
- Network Synergy: สร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบในเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- Asset Optimization: เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินทรัพย์
- Strategic Expansion: เดินหน้าการลงทุน การควบรวมกิจการ (M&A) ผ่านการลงทุนในบริษัทย่อย
- ESG Commitment: ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อทุกฝ่าย
กลยุทธ์การขยายเครือข่ายและโรงพยาบาล ‘แฟลกชิป’
ปัจจุบัน กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีเครือข่ายโรงพยาบาลและบริษัทในเครือรวม 46 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนเตียงรวม 7,800 เตียง นับเป็นผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของประเทศในแง่จำนวนเตียง และเป็นอันดับ 3 ในแง่รายได้ ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้มาจากการเติบโตตามปกติของโรงพยาบาลเดิมและการรับรู้รายได้จากเครือโรงพยาบาลธนบุรีที่ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ คาดว่าในปีนี้จะเติบโต 40%
นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงยังใช้ความได้เปรียบของเครือข่ายที่มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็น “แฟลกชิป” (Flagship Hospitals) ในแต่ละภูมิภาค เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลขนาดเล็กในเครือข่ายให้สามารถดูแลผู้ป่วยในชุมชนได้อย่างครบวงจร ตัวอย่างแฟลกชิปที่สำคัญ อาทิ
- โรงพยาบาลรามคำแหง (กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก) ที่เชี่ยวชาญศูนย์หัวใจและสมอง
- เครือโรงพยาบาลธนบุรี (กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก) เชี่ยวชาญการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ และอยู่ใกล้รพ. ศิริราช ซึ่งเป็นศูนย์รวมอาจารย์แพทย์
- เครือโรงพยาบาลวิภาราม (ภาคตะวันออก) ดูแลผู้ป่วยทุกสิทธิ์ ทั้งชำระเงินเอง ประกันสังคม และประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเน้นพื้นที่ EEC หรือระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
- รพ.เชียงใหม่ ราม (ภาคเหนือ) มุ่งมั่นปักธงครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคเหนือ
- รพ.ขอนแก่น ราม และ รพ.เมืองเลย ราม (ภาคอีสาน) ดูแลคนไข้ทั้งชาวไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
- เครือโรงพยาบาลธนบุรี (ภาคใต้) มีโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น ที่จังหวัดตรัง
กลยุทธ์และทิศทางการลงทุน
กลุ่มโรงพยาบาลฯ ประกาศเน้นการลงทุนในลักษณะ Brownfield หรือการลงทุนโดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานหรือสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมซึ่งเริ่มดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวมาได้ 2 ปีแล้ว M&A หรือการรวมหรือซื้อกิจการระหว่างบริษัทและเครือข่ายพันธมิตร โดยเน้นการเข้าไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อเสริมศักยภาพและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ในอดีต เราสร้างโรงพยาบาลใหม่เพราะโรงพยาบาลเอกชนมีน้อย แต่ตอนนี้เราโฟกัสที่ M&A เพราะเติบโตเร็วและรับรู้รายได้ทันที สามารถเข้าไปบริหารเต็มที่” คุณฤกขจีกล่าว
ส่วนกลยุทธ์ Greenfield หรือการลงทุนสร้างสิ่งใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจะหยุดชั่วคราว โดยโครงการรพ. ที่กำลังก่อสร้างในปัจจุบัน คือ รพ.น่าน ราม มีทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท ส่วน รพ.มหาสารคาม ราม อยู่ในขั้นตอนการเขียนแบบ
จาก ‘Sick Care’ สู่ ‘Health Care’
ด้านทีโบ สปิทาคิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนผู้ป่วยของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงกว่า 95% เป็นคนไทย ทั้งนี้ ภายใต้การรีแบรนด์ดิ้งเพื่อขยายฐานผู้รับบริการกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้ป่วยต่างชาติที่มองหาการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยเฉพาะการดูแลเชิงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ (Preventive & Wellness) ก่อนป่วยมากขึ้น รวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมสูงอายุ จึงมุ่งเน้นปรับเพิ่มการให้บริการที่เปลี่ยนผ่านจาก “Sick Care” (การรักษาเมื่อเจ็บป่วย) สู่ “Health Care” (การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและส่งเสริม) ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการแพทย์ (Digital Health & Innovation) อาทิ AI, Telemedicine, Big Data และอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพ มาเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัย การรักษา และการให้บริการที่ไร้รอยต่อ
คุณสปิทาคิส ยังเสริมว่า การปรับภาพลักษณ์ใหม่นี้เป็นการสร้างอัตลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ที่สะท้อนตัวตนด้าน Caring, Trusted, Expertise และCollaborative เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความคาดหวังสูงขึ้น ไม่ได้ต้องการแค่การรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่การป้องกันไปจนถึงการฟื้นฟู สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับภูมิภาค ที่สามารถดึงดูดผู้ใช้บริการได้จากทั่วโลก
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
WASH เคาะ IPO 7.50 บาทต่อหุ้น ร้านสะดวกซักเตรียมเข้าเทรด mai พ.ย. นี้