ในครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2025 โลกได้เผชิญกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยทางสภาพภูมิอากาศไปแล้วกว่า 1.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขความเสียหายนี้ ตอกย้ำถึงผลกระทบอันรุนแรง ทั้งจากความเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงสูง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเอง และข้อจำกัดของการลงทุนเพื่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในอดีต
แม้ว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภัยทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมิใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตลาดที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้าองค์กรและผู้บริโภคในการสร้างภาวะพร้อมผัน รวมทั้งการจัดการความเสี่ยงทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสัญญาณจากตลาดเหล่านี้มีแนวโน้มจะทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตราบที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น
การเติบโตของการสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศ (Climate Resilience) ถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมการดำเนินการที่มนุษย์พึงทำเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบเชิงลบจากภัยทางสภาพภูมิอากาศ อาทิ การสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปกป้องทรัพย์สิน การปรับปรุงการดำเนินงานของบริษัท และการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภค ฯลฯ
ความต้องการเทคโนโลยีที่สนับสนุนการสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศ สามารถสร้างโอกาสการลงทุนในภาคเอกชนที่มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งไม่เพียงแต่ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ยังรวมถึงปัจจัยด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงสังคม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ความกังวลด้านความเสี่ยงและการปรับตัวในวงกว้าง ความเต็มใจจ่ายของลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ เพื่อการปรับตัว ชุดปัจจัยผลักดันดังกล่าว ได้สร้างโอกาสที่น่าดึงดูดต่อนักลงทุนหลายประเภท และการระดมทุนของภาคเอกชนในเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยเสริมสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศโดยรวมของโลก
แม้จะมีโอกาสมหาศาล แต่การระดมทุนของภาคเอกชนในเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยที่ผ่านมา องค์กรที่ได้รับทุนจากภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาเป็นผู้ลงทุนกว่า 85% ของเงินทุนที่จัดสรรสำหรับการปรับตัวทางภูมิอากาศ มีเพียง 11% ที่เป็นเงินทุนจากภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย ธนาคาร (5.7%) กองทุนส่วนบุคคล (3.6%) และผู้ลงทุนภาคองค์กร (1.5%) ตามลำดับ

โดยจากตัวเลขในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 มีกองทุนไม่ถึง 120 แห่ง ที่มีการระดมทุนเพื่อลงทุนในการปรับตัวทางภูมิอากาศโดยเฉพาะ รวมกันไม่ถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ เงินทุนกว่า 6.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถูกระดมสำหรับการลดคาร์บอนและการลงทุนด้านความยั่งยืนในวงกว้าง จากกองทุนส่วนบุคคลกว่า 1,300 กองทุน
ในเอกสารที่เผยแพร่โดย McKinsey ชื่อว่า Climate resilience technology: An inflection point for new investment เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 ได้เสนอวิธีการปลดล็อกเงินทุนภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการขยายขนาดของตลาดทุนสำหรับการปรับตัวทางภูมิอากาศ ใน 3 ประการสำคัญ ประกอบด้วย
1. การสร้างผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศ (Return on Resilience – RoR)
ผู้ลงทุนต้องสามารถกำหนดตัวเลขมูลค่าความเสี่ยงจากภัยทางสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ชุดฉากทัศน์สำหรับทรัพย์สินหรือพอร์ตการลงทุน (เช่น การประเมินความเสียหายของทรัพย์สินจากการหยุดชะงักทางธุรกิจตามระดับของวาตภัยหรืออุทกภัยที่แตกต่างกัน) จากนั้น ทำการระบุและจัดลำดับความสำคัญของมาตรการปรับตัวที่มีประสิทธิผลสูงสุดตามหลักเทคนิคและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (เช่น การสร้างแนวกั้นน้ำท่วม การยกอุปกรณ์หรือสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญขึ้นที่สูง) ด้วยความสามารถในการระบุตัวเลขมูลค่าเสี่ยงภัยที่ลดได้ (ผลตอบแทน) และตัวเลขค่าใช้จ่ายในมาตรการปรับตัว (การลงทุน) ที่แม่นยำ จะสามารถจำลองผลตอบแทนสุทธิจากการปรับตัว (Net RoR) ตามการประเมินภายใต้สมมุติฐานเงื่อนเวลาและระดับความรุนแรงของภัยทางสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ การระบุตัวเลขมูลค่าพึงได้และการประมาณค่าผลตอบแทนทางการเงินจากการนำเทคโนโลยีการปรับตัวทางภูมิอากาศไปใช้งาน จะเป็นรากฐานสำหรับการสร้างกรณีศึกษาทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ชัดเจนสำหรับเทคโนโลยีการปรับตัวทางภูมิอากาศ
2. การสร้างสิ่งจูงใจเชิงโครงสร้างสำหรับการลงทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ (Structural Incentives)
การจัดหาเงินทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ จำเป็นต้องก้าวข้ามจากการบรรเทาภัยพิบัติเชิงรับ สู่กลไกเชิงรุกที่ให้คุณแก่การลดความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดความสูญเสียขึ้น เช่น นวัตกรรมด้านประกันภัยที่มีการพัฒนารูปแบบกรมธรรม์พ่วงสิ่งจูงใจทางตรงเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง นอกเหนือจากการชดเชยหลังเกิดความเสียหาย ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์สองระดับ (Dual Payoff) คือ ผู้ถือกรมธรรม์ลดทั้งความเสี่ยงต่อความสูญเสียและเบี้ยประกันในอนาคต ในขณะที่บริษัทประกันลดค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับการปรับตัวทางภูมิอากาศ โดยใช้การระดมทุนเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศ และมีการจ่ายผลตอบแทนตามผลลัพธ์การดำเนินงานการปรับตัวทางภูมิอากาศ
การเงินเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ กำลังก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ ที่มีศักยภาพในการขยายขนาดอย่างมาก เมื่อสิ่งจูงใจเหล่านี้ ถูกรวมเข้ากับการทำธุรกรรมทางการเงิน ผู้ลงทุนจะสามารถก้าวผ่านการมุ่งเน้นที่การวัดความเสี่ยงและการให้เงินทุนแบบตั้งรับเพื่อฟื้นฟูภัยพิบัติ ไปสู่การให้เงินทุนเชิงรุกสำหรับกิจกรรมการปรับตัวทางภูมิอากาศที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดแก่สินทรัพย์ พอร์ตการลงทุน หรือแก่ชุมชนโดยรวม
3. การสร้างสมรรถภาพและแหล่งรวมเงินทุนเฉพาะกิจทางภูมิอากาศ (Capital Pools)
การปลดล็อกศักยภาพทางการเงินเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศอย่างเต็มที่ ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงเครื่องมือเชิงนวัตกรรม แต่ยังรวมถึงสมรรถภาพและแหล่งรวมเงินทุนเฉพาะทางที่สามารถขยายผลในวงกว้าง โดยผู้ลงทุนต้องพัฒนาความสามารถใหม่ เช่น การผนวกแบบจำลองความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการคาดการณ์ผลตอบแทนจากการปรับตัวเข้ากับกระบวนการประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุน ภายใต้บริบทของความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมูลค่าที่คาดหวังจากความสูญเสียที่หลีกเลี่ยงได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างแหล่งรวมเงินทุนที่ตอบโจทย์ความมุ่งประสงค์ด้านการลงทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ ตามสมรรถภาพ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และในกรอบเวลาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการเงิน รัฐบาล และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเอาชนะอุปสรรคในวงกว้าง เช่น ช่องว่างข้อมูลในตัววัดผลการปรับตัวทางภูมิอากาศ การถกเถียงถึงความแม่นยำในฉากทัศน์ของภัยทางสภาพภูมิอากาศ การขาดกรอบมาตรฐานในการประเมินความสูญเสียที่หลีกเลี่ยงได้ และความซับซ้อนในการจัดแถวผู้รับผลประโยชน์หลายฝ่ายเพื่อแบ่งสันปันส่วนมูลค่าที่ต้องชดใช้ อันเป็นความท้าทายที่คุ้มค่าความพยายามในการหาทางออกเพื่อนำมาซึ่งมูลค่าพึงได้แก่สังคม ระบบเศรษฐกิจ และแก่ผืนโลก
ด้วยการผนวกผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศเข้ากับกระบวนการลงทุน และการสร้างสมรรถภาพใหม่ที่ตลาดต้องการ จะช่วยให้ตลาดทุนสามารถเคลื่อนจากการนำร่องไปสู่การสร้างสินทรัพย์ประเภทใหม่ที่ขยายขนาดได้ ซึ่งมิใช่เป็นเพียงการสร้างแหล่งรวมคุณค่าใหม่สำหรับผู้ลงทุน แต่ยังช่วยฝังตรึงภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศให้กลายเป็นแกนกลางการสร้างคุณค่าระยะยาวสำหรับกิจการ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และภาครัฐ
แม้จะมีคำถามว่าโลกจะสามารถปรับตัวเข้ากับความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังจะมาถึงได้อย่างเต็มที่หรือไม่ แต่โอกาสสำหรับผู้ลงทุนที่ใส่ใจการปรับตัวทางภูมิอากาศก็ปรากฏขึ้นแล้วในวันนี้ ตลาดจะยังขยายตัวต่อไปตราบที่ขนาดและความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศยิ่งชัดเจนและเร่งด่วนมากขึ้น อันนำมาซึ่งโอกาสสำหรับผู้บุกเบิกในการส่งมอบผลตอบแทนพร้อมกับการช่วยจัดการกับความเปราะบางของโลกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้น