ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค “เศรษฐกิจอวกาศใหม่” (New Space Economy) โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารของประเทศไทยกำลังถูกยกระดับครั้งสำคัญ เมื่อ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ได้ฤกษ์เปิดตัวบริการ “NT Next Connect” ณ สถานีดาวเทียมสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่รับส่งสัญญาณภายในประเทศอีกต่อไป แต่กำลังถูกผลักดันให้กลายเป็น “เกตเวย์ระดับภูมิภาค” (Regional Gateway) ที่เชื่อมโยงโครงข่ายสื่อสารผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit: LEO) ครอบคลุมไปถึงกลุ่มประเทศ CLMV ไต้หวัน และฟิลิปปินส์
ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยเทคโนโลยี LEO และความจุระดับกิกะบิต

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อยู่ที่การนำเทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรต่ำ หรือ LEO มาให้บริการภายใต้ความร่วมมือกับ Eutelsat OneWeb พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT อธิบายว่า ด้วยระยะห่างจากพื้นโลกเพียง 1,200 กิโลเมตร ซึ่งใกล้กว่าดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้าแบบดั้งเดิม (GEO) อย่างมหาศาล ทำให้สัญญาณมีความหน่วง (Latency) ต่ำเพียง 70 มิลลิวินาที ใกล้เคียงกับการใช้งานเครือข่ายไร้สายบนพื้นดิน ปัจจุบันสถานีสิรินธรมีความจุโครงข่าย (Capacity) เริ่มต้นที่ 2.3 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) และพร้อมที่จะขยายเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับปริมาณข้อมูลมหาศาลที่จะหลั่งไหลเข้ามาในอนาคต
กลยุทธ์การลงทุนแบบ ‘Asset Light’: ความเสี่ยงต่ำ รายได้สามทาง
ความน่าสนใจในมิติทางธุรกิจของโครงการนี้ คือการที่ NT เลือกใช้โมเดลการบริหารจัดการแบบ “Asset Light” หรือการลงทุนสินทรัพย์ให้น้อยที่สุดแต่สร้างผลตอบแทนสูงสุด โดย NT ลงทุนงบประมาณราว 40-50 ล้านบาท ในส่วนของการเตรียมพื้นที่ ระบบสาธารณูปโภค และโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกภาคพื้นดินเท่านั้น ในขณะที่อุปกรณ์เกตเวย์และจานรับส่งสัญญาณที่มีมูลค่าสูงเป็นหน้าที่ของพันธมิตรอย่าง OneWeb เป็นผู้ลงทุน
กลยุทธ์นี้ช่วยให้ NT ปิดความเสี่ยงเรื่องเทคโนโลยีตกรุ่น พร้อมทั้งสร้างกระแสรายได้เข้าสู่องค์กรได้ทันทีถึง 3 ช่องทาง ได้แก่ รายได้ค่าบริหารจัดการสถานี (Gateway Hosting), รายได้จากการเชื่อมต่อโครงข่าย (Connectivity) และกำไรส่วนต่างจากการขายส่งบริการ (Wholesale Margin) ซึ่งผู้บริหาร NT คาดการณ์ว่าโมเดลนี้จะสร้างรายได้เริ่มต้นในปีแรกประมาณ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 70 ล้านบาท) และตั้งเป้าเติบโตแตะระดับ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 5 ปี
วางตำแหน่งเจาะตลาดองค์กร ชูจุดแข็ง SLA ท้าชนคู่แข่ง
ในสมรภูมิอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่เริ่มมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Starlink เข้ามามีบทบาท NT ได้วางตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคา โดยบริการ NT Next Connect จะมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) และภาครัฐ (B2G) เป็นหลัก เนื่องจากอุปกรณ์รับสัญญาณยังมีราคาสูงระดับหลักแสนบาท แต่สิ่งที่ลูกค้ากลุ่มนี้จะได้รับคือ “การการันตีคุณภาพบริการ” (SLA) ซึ่งแตกต่างจาก Starlink ที่เน้นตลาดผู้บริโภคทั่วไป (Mass Market) ในรูปแบบ Best Effort ที่ความเร็วอาจไม่คงที่ บริการของ NT จึงตอบโจทย์ภารกิจสำคัญที่ต้องการความเสถียรสูง เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางอ่าวไทย หรือภารกิจด้านความมั่นคงของกองทัพ
เส้นทางของข้อมูลสู่อนาคตแห่ง ‘อธิปไตยทางไซเบอร์’

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญทางเทคนิคคือเส้นทางของข้อมูล (Data Traffic) ซึ่งปัจจุบันเมื่อรับสัญญาณจากดาวเทียมที่อุบลราชธานี ข้อมูลจะถูกส่งผ่านเคเบิลใต้น้ำไปยังจุดเชื่อมต่อ (POP) ที่ประเทศสิงคโปร์ก่อนจะวนกลับมายังประเทศไทย ซึ่งอาจเป็นข้อกังวลสำหรับหน่วยงานความมั่นคง อย่างไรก็ตาม NT ได้วางโรดแมปในอนาคตที่จะดึง POP เข้ามาตั้งในประเทศไทย เพื่อให้ข้อมูลหมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ (Local Loop) ทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าความหน่วงให้ต่ำลงไปอีกขั้นแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางข้อมูล (Data Sovereignty) ให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของชาติอีกด้วย
มองไปข้างหน้า: จากบรอดแบนด์สู่ IoT และมือถือ
การเปิดตัวในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิสัยทัศน์ระยะยาว โดยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีดาวเทียม LEO จะพัฒนาไปสู่ยุคที่ 2 และ 3 ซึ่งจะรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) และที่สำคัญคือเทคโนโลยี Direct-to-Device ที่จะทำให้โทรศัพท์มือถือสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง การวางรากฐานที่สถานีดาวเทียมสิรินธรในวันนี้ จึงเป็นการเตรียมความพร้อมของ NT ในการเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้ก้าวไกลในเวทีโลกอย่างยั่งยืน




