Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

‘ขยะข้าว’ ขุมทรัพย์ที่ไปไม่ถึง: เมื่อนโยบายสวนทางความจริง

rice waste Circular Economy

ในยุคที่ ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ (Circular Economy) ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติและกลายเป็นเครื่องประดับราคาแพงบนทุกเวทีเสวนา ภาพฝันที่สวยหรูนั้นกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความเป็นจริงใน ‘อุตสาหกรรมข้าว’ เมื่อเบื้องหลังกองฟางและแกลบที่ดูไร้ค่า กลับซ่อน ‘กับดัก’ ที่ซับซ้อนเกินกว่าแคมเปญรณรงค์ห้ามเผาจะแก้ไขได้ ข้อมูลจากวงเสวนาล่าสุด การประชุมวิชาการเครือข่ายส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนแห่งประเทศไทยประจำปี 2568 ในเรื่อง “ตัวชีวัตการหมุนเวียนวัสดุในอุตสาหกรรมข้าว” ได้กระชากหน้ากากความท้าทายนี้ออกมาตีแผ่ ให้เห็นว่าขยะทางการเกษตรเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเศษซากเหลือทิ้ง แต่คือบททดสอบมหาหินที่ผูกปมเงื่อนตายไว้ด้วยข้อจำกัดทางวิศวกรรม ต้นทุนทางการเงิน และนโยบายรัฐที่ยังคงย้อนแย้งในตัวเอง

มายาคติของ “Zero Burn” กับความจริงในนาข้าว

หัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เปิดประเด็นที่สั่นคลอนความเชื่อเดิมเรื่องนโยบาย “Zero Burn” หรือการไม่เผาเลย 100% โดยชี้ให้เห็นว่าในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากปริมาณฟางข้าวในแต่ละพื้นที่ไม่มีความสม่ำเสมอ โดยมีความผันแปรสูงตั้งแต่ 650 กิโลกรัมไปจนถึง 1,300 กิโลกรัมต่อไร่ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และผลผลิตข้าว หากเป็นข้าวหอมมะลิในภาคอีสานที่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ปริมาณฟางอาจไม่เป็นปัญหามากนัก แต่สำหรับข้าวพันธุ์ปรับปรุงในพื้นที่ภาคกลางที่ให้ผลผลิตสูง ปริมาณฟางข้าวจะมหาศาลจนกลายเป็นภาระหนักอึ้งของเกษตรกร

ความพยายามรณรงค์ให้เกษตรกรไถกลบตอซังหรือใช้น้ำหมักชีวภาพเพื่อย่อยสลายฟางแทนการเผานั้น พบอุปสรรคหน้างานที่รุนแรงกว่าทฤษฎีในห้องประชุม การมีฟางข้าวปริมาณมหาศาลกองอยู่บนพื้นนา ทำให้การเอาน้ำเข้าลูบหรือใช้สารย่อยสลายทำได้ไม่ทั่วถึง และเมื่อนำรถไถลงไปทำงาน รถไถมันมักจะติดหล่มจากกองฟางที่หนาแน่นจนทำให้ “โซ่ขาด” หรือเครื่องจักรเสียหาย ซึ่งกลายเป็นต้นทุนแฝงที่เกษตรกรต้องแบกรับ

นอกจากนี้ ความเชื่อที่ว่าการไถกลบจะช่วยเพิ่มปุ๋ยในดินจนไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีนั้น อาจเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว ข้อมูลจากการวิจัยระบุชัดเจนว่า แม้ในฟางข้าวจะมีธาตุอาหารครบทั้ง ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม (NPK) แต่ปริมาณที่ได้กลับคืนมานั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักฟาง โดยเฉพาะ “ฟอสฟอรัส” ที่มีเพียงประมาณ 0.8 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในรอบถัดไป ทำให้เกษตรกรยังคงต้องควักกระเป๋าซื้อปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์มาเติมอยู่ดี เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างความยากลำบากในการจัดการกับผลตอบแทนที่ได้คืนมาเพียงน้อยนิด เกษตรกรจึงตกอยู่ในสภาวะจำยอมที่ต้อง “โกยฟางออกไปไว้ข้างๆ แล้วเผา” เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้ทันฤดูกาลเพาะปลูก

กับดักโลจิสติกส์: เมื่อ “ที่ตั้ง” กำหนดชะตากรรมราคา

หนึ่งในอุปสรรคที่เปรียบเสมือน “กำแพงที่มองไม่เห็น” ของธุรกิจพลังงานชีวมวล คือต้นทุนด้านโลจิสติกส์และความเหลื่อมล้ำของราคาวัตถุดิบที่ขึ้นอยู่กับภูมิศาสตร์อย่างสิ้นเชิง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ได้กางตัวเลขราคาแกลบรายจังหวัดที่สะท้อนให้เห็นความจริงอันน่าตกใจว่า “แกลบ” ไม่ใช่สินค้าที่มีราคามาตรฐานเดียวทั่วประเทศ แต่ผันผวนตามดีมานด์และซัพพลายในท้องถิ่นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

ในพื้นที่ภาคกลางที่มีอุตสาหกรรมหนาแน่นอย่าง จังหวัดนครปฐม ราคาแกลบพุ่งทะยานไปถึงเกือบ 2 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากมีการแย่งชิงวัตถุดิบจากโรงงานอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ในขณะที่ภาคอีสานซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวขนาดใหญ่กลับมีราคาที่ต่ำกว่ามาก เช่น จังหวัดสกลนคร ราคาเหลือเพียง 50 สตางค์ จังหวัดอุดรธานี 70 สตางค์ หรือ จังหวัดอุบลราชธานีและขอนแก่น อยู่ที่ประมาณ 80 สตางค์ ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่า หากผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลเลือก “ทำเลที่ตั้ง” ผิดพลาด ไปตั้งโรงงานในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง ต้นทุนเชื้อเพลิงจะกินกำไรจนหมดสิ้น และหากต้นทุนวัตถุดิบเกิน 1 บาทต่อกิโลกรัม ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำกำไรภายใต้โครงสร้างค่าไฟปัจจุบัน

ปัญหานี้สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ ยุทธพงษ์ พุ่มรินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท วีอาร์พี ดีเวลลอปเม้นท์ โอลดิ้ง จำกัดที่ชี้ให้เห็นความล้มเหลวของ “โมเดลโรงงานศูนย์กลาง” (Centralized Plant) แบบดั้งเดิม การลงทุนสร้างโรงงานอัดเม็ดชีวมวลขนาดใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 30-40 ล้านบาทสำหรับค่าที่ดินและก่อสร้าง เมื่อรวมกับค่าขนส่งที่ต้องวิ่งรถไปรับเศษวัสดุจากแปลงนาที่กระจัดกระจาย ต้นทุนรวมจะพุ่งสูงถึง 5-8 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งแพงกว่า “ถ่านหิน” ที่มีราคาเพียงประมาณ 3.50 บาทต่อกิโลกรัมอย่างขาดลอย

ทางออกเดียวที่จะทำลายกำแพงต้นทุนนี้ได้ คือการพลิกวิธีคิดจาก “ขนขยะมาหาโรงงาน” เป็น “ยกโรงงานไปหาขยะ” ด้วยนวัตกรรม “ระบบผลิตชีวมวลอัดเม็ดแบบเคลื่อนที่” (Mobile Pelletizing Unit) ที่สามารถเคลื่อนย้ายเครื่องจักรเข้าไปแปรรูปถึงปากทางเข้าแปลงนา ตัดต้นทุนค่าก่อสร้างโรงงานและค่าขนส่งวัตถุดิบที่ฟูฟ่องออกไป ทำให้สามารถผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลได้ในราคาที่แข่งขันกับถ่านหินได้จริง และกลายเป็นทางเลือกที่จับต้องได้สำหรับองค์กรชั้นนำอย่าง ยูนิลีเวอร์ หรือ ปตท. ที่ต้องการพลังงานสะอาดเพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษีคาร์บอน (CBAM)

ความย้อนแย้งของนโยบายพลังงาน: เมื่อ “ชีวมวล” ถูกเมิน

อีกประเด็นที่ร้อนแรงและสะท้อนความเจ็บปวดของผู้ประกอบการคือความไม่สอดคล้องของนโยบายพลังงาน นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย และผู้ร่วมเสวนาสะท้อนให้เห็นว่า ภาครัฐกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้า (FiT) จากชีวมวลไว้ที่ประมาณ 2.28 บาทต่อหน่วย ซึ่งต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับต้นทุนเชื้อเพลิงแกลบที่สูงขึ้น ในขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ได้รับราคารับซื้อใกล้เคียงกันที่ 2.16 บาท ทั้งที่ในความเป็นจริง โซลาร์เซลล์มีค่าความสามารถในการผลิต (Capacity Factor) ต่ำเพียงวันละ 4-5 ชั่วโมง (ประมาณ 20%) แต่โรงไฟฟ้าชีวมวลสามารถเดินเครื่องได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมง (95-100%) ทำหน้าที่เป็นโรงไฟฟ้าฐาน (Base Load) ที่มั่นคงได้เหมือนฟอสซิล แต่กลับได้รับการประเมินมูลค่าและได้รับการสนับสนุนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง

นอกจากเรื่องราคา ยังมีความย้อนแย้งในเชิงโครงสร้างของ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ที่แม้จะประกาศเป้าหมายลดคาร์บอน แต่ในทางปฏิบัติกลับมีการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าฟอสซิลกว่า 6,000 เมกะวัตต์ ในขณะที่โรงไฟฟ้าชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกลับถูกกดดันจนไปต่อลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น กติกาการรับซื้อไฟฟ้าในอดีตมักไม่ได้ระบุประเภทเชื้อเพลิงที่ชัดเจน ทำให้โรงไฟฟ้าหันไปใช้ “ไม้สับ” หรือพืชโตเร็วแทน เพราะจัดการง่ายและต้นทุนต่ำกว่าการไล่เก็บ “ฟางข้าว” หรือ “ใบอ้อย” จากเกษตรกร ส่งผลให้นโยบายพลังงานที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการเผาในภาคเกษตรได้อย่างตรงจุด

ข้อเสนอสำคัญจากวงเสวนาคือ ภาครัฐควรปรับแผน PDP ให้กำหนดโควตาการผลิตไฟฟ้าจาก “วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร” เป็นลำดับความสำคัญแรก (Priority) ก่อนก๊าซธรรมชาติ เพื่อสร้างอุปสงค์ (Demand) ที่แน่นอนในการดูดซับฟางข้าวและใบอ้อยออกจากทุ่งนา ซึ่งจะเป็นกลไกแก้ปัญหา PM 2.5 ที่ยั่งยืนกว่าการรณรงค์เพียงอย่างเดียว

ทางสองแพร่ง: เลือก “ลดคาร์บอน” หรือ “หมุนเวียนวัสดุ”

ในเชิงวิชาการและการวัดผล มีประเด็นที่ท้าทายกรอบความคิดเดิม คือความขัดแย้งในเชิงตัวชี้วัดระหว่างเป้าหมาย Net Zero (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์) กับ MCI (Material Circularity Indicator หรือ ดัชนีการหมุนเวียนวัสดุ)

การนำฟางข้าว แกลบ หรือใบอ้อยไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อผลิตไฟฟ้านั้น เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับโจทย์ Net Zero และเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เพราะเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหิน ซึ่งช่วยลดโลกร้อนและลดฝุ่น PM 2.5 จากการเผาในที่โล่งได้อย่างชัดเจน

แต่ในมุมมองของ Circular Economy ที่วัดด้วยดัชนี MCI การนำวัสดุไปเผาเป็นพลังงาน (Energy Recovery) อาจถูกตีความว่าเป็นการทำลายวัสดุให้สูญหายไป (Lost) ไม่ได้ถูกนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่เป็นวัตถุดิบ (Recycle/Reuse) เช่น การนำไปทำปุ๋ยหมัก หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจทำให้ค่าคะแนน MCI ของอุตสาหกรรมข้าวลดต่ำลง

อย่างไรก็ตาม ผู้ร่วมเสวนาได้ชี้ให้เห็นถึง “ความจริงหน้างาน” ว่า ด้วยปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีมหาศาลถึง 80 ล้านตันต่อปี การจะนำทั้งหมดไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (เช่น จานรักษ์โลก หรือวัสดุก่อสร้าง) นั้นเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะตลาดรองรับมีจำกัด ดังนั้น “พลังงาน” จึงเป็นทางออกเดียวที่มีขนาดใหญ่พอ (Scale) ที่จะดูดซับปริมาณขยะเกษตรเหล่านี้ได้จริง นี่คือโจทย์ระดับนโยบายที่ประเทศไทยต้องชั่งน้ำหนักและหาจุดสมดุลว่า จะยอมแลกคะแนน MCI บางส่วน เพื่อแลกกับชัยชนะในสมรภูมิ Net Zero และการแก้ปัญหาฝุ่นควันหรือไม่

วิกฤติซ้อนวิกฤติ: “ใบอ้อย” โจทย์หินกว่าฟางข้าว

นอกเหนือจากเรื่องข้าว อีกหนึ่งความจริงที่ถูกเปิดเผยและถือเป็น “โจทย์หิน” ที่สุดของวงการเกษตรคือปัญหาของ “อ้อย” ที่วิกฤติยิ่งกว่า ผู้ร่วมเสวนาที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าชีวมวลได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่น่ากังวลว่า การจัดการใบอ้อยมีความซับซ้อนกว่าฟางข้าวหลายเท่าตัวด้วยเหตุผลสำคัญ 4 ประการ ได้แก่

  1. อันตรายทางกายภาพ: ใบอ้อยมีความคมมาก หากไม่เผาให้ใบไหม้ก่อน การใช้แรงงานคนเข้าไปตัดอ้อยสดจะทำได้ยากลำบากและเป็นอันตรายต่อเกษตรกร ทำให้เกษตรกรเลือกที่จะเผาเพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยว
  2. กับดักวงจรอายุพืช (Ratoon Crop): อ้อยเป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวยาวนานถึง 3 ปี (ปลูกครั้งเดียว เก็บเกี่ยวได้หลายรอบหรือที่เรียกว่า “อ้อยตอ”) หากไม่เผาและใช้เครื่องจักรหนักเข้าไปตัดอ้อยสด น้ำหนักของรถตัดอ้อยจะไปบดอัดดินให้แน่น (Soil Compaction) จนรากอ้อยเสียหาย ส่งผลให้ผลผลิตในปีถัดไปลดลง ต้องเสียต้นทุนนำรถไถเข้าไปพรวนดินใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนซ้ำซ้อน
  3. ความเสี่ยงเรื่องการเน่าเสีย: อ้อยที่ผ่านการเผาไฟจะมีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก หากเกิดเหตุสุดวิสัย เช่น รถบรรทุกเสียระหว่างทางเข้าโรงงาน อ้อยจะเกิดการบูดเน่า (Sour) อย่างรวดเร็ว ทำให้โรงงานปฏิเสธการรับซื้อ ซึ่งต่างจากอ้อยสดที่ทนทานกว่า
  4. กลไกราคา CCS ที่ไร้ทางเลือก: แม้การเผาอ้อยจะทำให้น้ำหนักหายและค่าความหวาน (C.C.S.) ลดลง ซึ่งส่งผลให้ราคาขายตกต่ำ แต่เกษตรกรก็ยังจำยอมต้องเผา เพราะระบบการกำหนดราคาอ้อยคำนวณจากค่าความหวานเฉลี่ยของทั้งเขต หากมีใครเผา ค่าเฉลี่ยของทั้งโซนจะตกลง ทำให้เกิดสภาพ “ตกกระไดพลอยโจน” ที่ยากจะแก้ไขด้วยตัวคนเดียว

ดังนั้น โจทย์ของใบอ้อยจึงไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องจักร แต่เป็นเรื่องของโครงสร้างการเพาะปลูกและกลไกราคาที่บีบบังคับให้การเผาเป็นทางเลือกที่ “เจ็บน้อยที่สุด” สำหรับเกษตรกร

จากของเหลือทิ้งสู่ “วัสดุแห่งอนาคต” ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่โอกาสในการใช้วิทยาศาสตร์เพื่อเปลี่ยน “ขยะ” ให้เป็น “ทองคำ” ยังคงเปิดกว้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีศักยภาพสูงในการดูดซับวัสดุเหล่านี้ในปริมาณมหาศาล ดร.พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน สวทช. ได้ขยายมุมมองเชิงลึกว่า ความน่าสนใจของวัสดุจากข้าวและอ้อยไม่ได้อยู่ที่การนำไปทำเชื้อเพลิงราคาถูกเท่านั้น แต่อยู่ที่องค์ประกอบทางเคมีที่ซ่อนอยู่ภายใน นั่นคือ “ซิลิกา” (Silica)

ในมุมมองของเกษตรกร ซิลิกาคือศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้ใบข้าวและใบอ้อยมีความคมและแข็ง จนทำให้ใบมีดของรถเกี่ยวนวดสึกหรอเร็ว แต่ในมุมมองของนักวัสดุศาสตร์ ซิลิกาคือขุมทรัพย์ทางเคมีที่มีมูลค่าสูง ทีมวิจัยของ สวทช. ได้พัฒนานวัตกรรม Deep Tech เพื่อสกัดสารเหล่านี้ออกมาใช้ประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่:

  • จากขี้เถ้าแกลบสู่ผงซักฟอก: การนำขี้เถ้าแกลบ (Rice Husk Ash) มาสกัดเป็นสาร “โซเดียมซิลิเกต” (Sodium Silicate) หรือแก้วน้ำ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำคัญในอุตสาหกรรมผงซักฟอก สบู่ เซรามิก และโลหะ โดยมีมูลค่าสูงถึงกิโลกรัมละกว่า 10 บาท ซึ่งปัจจุบันได้ขยายผลสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนแล้ว
  • จากฝุ่นโรงไฟฟ้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์: การนำเถ้าลอย (Fly Ash) ที่เหลือทิ้งจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งมีซิลิกาสูงถึง 80-90% มาสกัดเป็น “ไมโครซิลิกา” (Micro Silica) และ “นาโนซิลิกา” (Nano Silica) เพื่อใช้เป็นสารเติมเต็ม (Filler) คุณภาพสูงในอุตสาหกรรมสี ยางรถยนต์ และพลาสติกชีวภาพ
  • ฉนวนกันความร้อนระดับโลก: การต่อยอดนาโนซิลิกาไปสู่การผลิต “ซิลิกาแอร์โรเจล” (Silica Aerogel) ซึ่งเป็นฉนวนกันความร้อนประสิทธิภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรมหนัก เช่น การหุ้มท่อในโรงกลั่นน้ำมันหรือปิโตรเคมีเพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน
  • จากฟางข้าวสู่การแพทย์: การสกัด “ไมโครคริสตัลไลน์ เซลลูโลส” (Microcrystalline Cellulose – MCC) จากฟางข้าว เพื่อใช้เป็นสารเติมแต่งในอุตสาหกรรมอาหารและยา ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง

แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน คือความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบน ผู้พัฒนาโครงการ (Developer) ต่างกำลังมองหา “วัสดุฐานชีวภาพ” (Bio-based Materials) เพื่อนำมาใช้ตกแต่งอาคาร ผนังกันเสียง (Acoustic Panels) หรือวัสดุปิดผิว เพื่อตอบโจทย์การขอรับรองมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากลอย่าง LEED Certificationซึ่งช่วยยกระดับภาพลักษณ์โครงการและดึงดูดนักลงทุนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นี่จึงเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างจะกลายเป็น “ฮีโร่” ในการดูดซับขยะทางการเกษตรเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

เงินทุนมีพร้อมแต่ขาด “คนกล้า” ที่เข้าใจนวัตกรรม

ในฟากฝั่งของการเงินซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ภูมิเลิศ เลิศวรวิทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อบุคคล ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจว่า ธนาคารได้เตรียมวงเงินสินเชื่อสำหรับสนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ไว้สูงถึง 35,000 ล้านบาท แต่เมื่อเจาะลึกในรายละเอียดกลับพบความจริงที่น่ากังวลว่า ใน 3 ส่วนประกอบของ BCG ส่วนที่มียอดสินเชื่อน้อยที่สุดจนน่าใจหายคือตัว “C” หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งมียอดการปล่อยกู้จริงเพียงหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น

สาเหตุของปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนเงินทุน แต่เกิดจาก “ช่องว่างทางความรู้และเทคโนโลยี” เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคุ้นชินและสมัครใจที่จะขอสินเชื่อในกลุ่ม “G” (Green Economy) หรือเกษตรอินทรีย์และการผลิตแบบปลอดภัย (GAP/GHP) มากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตเดิม ไม่ซับซ้อน และเห็นผลตอบแทนที่จับต้องได้ง่าย ในทางตรงกันข้าม การขยับไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การนำขยะไปแปรรูปเป็นพลังงานหรือวัสดุใหม่ จำเป็นต้องใช้นวัตกรรม เครื่องจักร และองค์ความรู้ขั้นสูง ซึ่งเกษตรกรทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าจะแบกรับไหว

ธ.ก.ส. จึงต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากเดิมที่เป็นเพียง “ผู้ปล่อยกู้” (Money Lender) มาเป็น “ผู้ให้ความรู้” (Knowledge Provider) และ “ผู้เชื่อมโยงธุรกิจ” (Matchmaker) โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับภาคเอกชนรายใหญ่อย่างเครือ CP เพื่อสร้างหลักประกันด้านการตลาดให้กับเกษตรกร ในโครงการข้าวคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรกล้าที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังมองเห็นศักยภาพของ “โมเดลโรงงานเคลื่อนที่” (Mobile Unit) ว่าเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปล่อยสินเชื่อในปัจจุบัน เพราะเป็นการลงทุนขนาดเล็กที่กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการปล่อยกู้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ที่มักประสบปัญหาขาดทุนจากการบริหารจัดการวัตถุดิบ

บทสรุปจากวงเสวนานี้ชี้ชัดว่า การแก้ปัญหาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ไม่สามารถทำได้ด้วยการออกคำสั่งห้ามเผาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งการปรับราคารับซื้อพลังงานให้สะท้อนต้นทุนจริง การแก้ปัญหาโลจิสติกส์ด้วยนวัตกรรมที่เข้าถึงพื้นที่ และการเลือกใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของพืชแต่ละชนิด หากจิ๊กซอว์เหล่านี้ต่อกันไม่ติด ฟางข้าวและใบอ้อยก็จะเป็นเพียงเชื้อเพลิงที่รอวันเผาทิ้ง สร้างฝุ่นควันและปัญหาสุขภาพต่อไป แทนที่จะกลายเป็นทองคำในทุ่งนาอย่างที่วาดฝันกันไว้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

บีคอน วีซี ทุ่ม 600 ล้านบาท หนุน 3 สตาร์ตอัป ESG โลก ผ่าน Beacon Impact Fund

สภาอุตฯ ชู ‘End of Waste’ เปลี่ยนขยะเป็นทอง

×

Share

ผู้เขียน