ท่ามกลางความผันผวนของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่นักลงทุนต้องเผชิญมาตลอดปี 2025 ภาพรวมของตลาดกำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่บทใหม่ที่น่าจับตามอง จากการวิเคราะห์ของ ภาณุวิชญ์ ไทยานนท์ Senior Investment Consultant บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ได้สะท้อนมุมมองที่ลึกซึ้งผ่านงานสัมมนาพิเศษ โดยชี้ให้เห็นว่าปี 2025 คือปีแห่งการวางรากฐานทางกฎหมายและเทคโนโลยี เพื่อส่งไม้ต่อให้กับปี 2026 ซึ่งจะเป็นปีแห่ง “ปฏิสัมพันธ์” (Interaction) และการขับเคลื่อนด้วยสภาพคล่องที่แท้จริง
จากปรากฏการณ์ Circle IPO สู่ความเชื่อมั่นระดับสถาบัน
หากมองย้อนกลับไปในปี 2025 ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดไม่ได้มีเพียงแค่กระแส ETF เท่านั้น แต่ยังมีเหตุการณ์สำคัญที่เป็นตัวเร่ง (Catalyst) ในระดับมหภาค นั่นคือการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ของบริษัท Circle ผู้ออกเหรียญ USDC ปรากฏการณ์นี้สร้างความฮือฮาให้กับตลาดอย่างมาก เมื่อราคาหุ้น Circle พุ่งทะยานจากระดับ 60-70 ดอลลาร์ ไปแตะระดับ 300 ดอลลาร์ได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ดึงดูดเม็ดเงินและความสนใจจากโลกการเงินดั้งเดิมเข้ามาสู่ตลาดคริปโทฯ อย่างมหาศาลในช่วงไตรมาสแรกของปี
เสาหลักที่สำคัญที่สุดในปีที่ผ่านมายังรวมถึงด้านกฎหมาย หรือ “Pillar of Law” โดยเฉพาะความชัดเจนจากกฎหมาย Gillibrand Act ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งเข้ามากำกับดูแลเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ (Stablecoin) ไม่ให้ถูกจัดเป็นหลักทรัพย์ (Security) แต่ถูกมองเป็นสินทรัพย์ที่ไร้ความเสี่ยงจาก ก.ล.ต. แทน กฎหมายดังกล่าวระบุให้ผู้ออก Stablecoin ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันเป็นเงินสดและพันธบัตรระยะสั้น (Short-term Bond) อย่างน้อย 1 ใน 1 ส่วน ซึ่งนอกจากจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือครองแล้ว ยังกลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยดูดซับหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านการซื้อพันธบัตร สิ่งนี้เชื่อมโยงโลกการเงินดั้งเดิม (Traditional Finance) เข้ากับโลกสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) อย่างแนบเนียน และเป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงมีท่าทีสนับสนุน Stablecoin อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกัน เสาหลักด้านเทคโนโลยี (Pillar of Technology) ก็ได้รับการยกระดับผ่านการอัปเกรดระบบครั้งสำคัญของ Ethereum เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการขยายตัว (Scalability) ทำให้ธุรกรรมรวดเร็วขึ้นและรองรับการใช้งาน Layer 2 ได้ดียิ่งขึ้น เปรียบเสมือนการเตรียมถนนให้พร้อมสำหรับการจราจรที่หนาแน่นในอนาคต
ปี 2026: การกลับมาของสภาพคล่องและบทพิสูจน์ “Real Yield” ผ่านกรณีศึกษา Uniswap
สำหรับทิศทางในปี 2026 คุณภาณุวิชญ์มองว่าเป็นปีที่เครื่องจักรสังเคราะห์สภาพคล่อง (Liquidity Engine) จะกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง ปัจจัยบวกมาจากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ส่งสัญญาณยุติการทำ QT (Quantitative Tightening) หรือการดึงเงินออกจากระบบ และหันมาใช้นโยบายการบริหารจัดการเงินสำรอง (Reserve Management) ซึ่งเปรียบเสมือนการอัดฉีดสภาพคล่องแบบเบาๆ (QE Lite) เพื่อพยุงภาคธนาคารและเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม บทเรียนสำคัญจากปี 2025 คือตลาดได้ทำการคัดกรอง “ของจริง” ออกจากกระแสความคาดหวัง การเก็งกำไรเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป โปรเจกต์ที่จะอยู่รอดในปี 2026 ต้องเป็นโปรเจกต์ที่มีการใช้งานจริง (Utility) มีรายได้ (Revenue) และมีการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่จับต้องได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนี้คือกรณีของ Uniswap แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (DEX) ที่ประกาศปรับโมเดลธุรกิจด้วยการเปิดใช้ “Fee Switch” ซึ่งเป็นการแบ่งส่วนแบ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมการเทรดรายวันให้กับผู้ที่ถือเหรียญ UNI และทำการ Stake ไว้กับระบบ โมเดลนี้เปลี่ยนสถานะจากการถือเหรียญเพื่อเก็งกำไรหรือโหวตทิศทาง (Governance) มาเป็นการถือสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ซึ่งจะเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับโปรเจกต์ DeFi อื่นๆ ในปีหน้า หากเหรียญใดไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการสร้างผลตอบแทนจากการใช้งานจริงได้ ก็ยากที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะยาว
ธีมการลงทุนแห่งอนาคต: DePIN, Prediction Market และการหลอมรวมโลกจริง
เทรนด์ที่น่าจับตามองที่สุดในปีหน้ายังคงนำโดย Real World Asset (RWA) หรือการแปลงสินทรัพย์ในโลกจริงให้เป็นโทเคนดิจิทัล ซึ่งเปรียบเสมือน “ยักษ์หลับ” (Sleeping Giant) ที่กำลังตื่น การที่สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง BlackRock หรือ JP Morgan กระโดดลงมาเล่นในสนามนี้อย่างเต็มตัว เป็นเครื่องยืนยันศักยภาพได้เป็นอย่างดี ล่าสุด JP Morgan ได้เปิดตัวกองทุน Tokenized Money Market Fund บนเครือข่าย Ethereum ซึ่งช่วยให้สินทรัพย์มีสภาพคล่องสูงขึ้นและทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจาก RWA แล้ว อีกหนึ่งธีมที่กำลังก่อตัวขึ้นคือ DePIN (Decentralized Physical Infrastructure Networks) หรือโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพแบบกระจายศูนย์ ซึ่งเป็นการนำบล็อกเชนมาใช้จัดการทรัพยากรพื้นฐาน เช่น การปล่อยเช่าพลังประมวลผลสำหรับ AI (Compute Power) หรือเครือข่ายสัญญาณอย่าง Helium แม้ปัจจุบันอาจยังต้องรอจังหวะการปรับตัวให้เข้ากับตลาด (Product Market Fit) แต่ DePIN ถือเป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่นำสินทรัพย์จับต้องได้มาสู่โลกดิจิทัล
พร้อมกันนี้ เรายังเห็นการเติบโตของ Prediction Market หรือตลาดการคาดการณ์ อย่างเช่น Polymarket และ Kalshi ที่เปลี่ยน “ความคิดเห็น” ของผู้คนให้มีมูลค่าทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ราคา Bitcoin หรือผลการเลือกตั้ง รูปแบบนี้เปรียบเสมือนการซื้อขาย Options ในโลกการเงิน (Financial Engineering) ที่ย่อส่วนลงมาให้อยู่ในรูปแบบ “Yes/No” ที่เข้าใจง่าย ซึ่งดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลและเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในปีหน้า
ในฝั่งของโซเชียลมีเดีย เทรนด์ SocialFi กำลังเข้ามาแก้ปัญหาการผูกขาดรายได้ของแพลตฟอร์มดั้งเดิม เปลี่ยนจาก “ยอดไลก์” ให้กลายเป็น “มูลค่า” (Attention as Value) โดยผู้สร้างคอนเทนต์ (Creator) สามารถได้รับผลตอบแทนโดยตรงจากผู้ติดตามผ่านการ “Mint” ผลงาน ซึ่งช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการผลิตคอนเทนต์เพื่อเรียกยอด Engagement เพียงอย่างเดียว รวมถึงการมาของ Agentic Economy ที่ใช้ AI Agent ในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนแบบอัตโนมัติ ตรวจสอบความปลอดภัย และหาผลตอบแทนสูงสุดบนเครือข่ายบล็อกเชน
ความเสี่ยงและจุดวัดใจของ Bitcoin
แม้ภาพระยะยาวจะดูสดใส แต่ในระยะสั้นตลาดยังคงขาดปัจจัยกระตุ้น (Catalyst) ใหม่ๆ และอาจเข้าสู่ภาวะที่ “น่าเบื่อ” ในช่วงต้นปี ประเด็นความเสี่ยงที่ต้องระวังคือการตัดสินใจของ MSCI ในวันที่ 15 มกราคม ว่าจะถอดบริษัท MicroStrategy ออกจากการคำนวณดัชนี MSCI World Index หรือไม่ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันที่มีต่อ Bitcoin อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเชิงเทคนิค คุณภาณุวิชญ์ประเมินกรอบราคาที่ต้องเฝ้าระวัง โดยมองว่าจุดยอมแพ้ (Stop Loss) ของขาขึ้นรอบนี้อยู่ที่ระดับ 70,000 ดอลลาร์ หากราคาหลุดต่ำกว่านี้อาจเสียทรงแนวโน้มขาขึ้น ในขณะเดียวกัน หาก Bitcoin สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ 94,000 ดอลลาร์ไปได้ จึงจะถือเป็นการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างสมบูรณ์
โดยสรุป ปี 2026 จะเป็นปีแห่งความท้าทายที่สินทรัพย์ดิจิทัลต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย “มูลค่าที่แท้จริง” มากกว่าความหวัง และสำหรับนักลงทุน ช่วงเวลาที่ตลาดเงียบเหงาและเต็มไปด้วยความกลัว (Fear) มักเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ที่มองเห็นอนาคตและกล้าที่จะเป็นคนส่วนน้อยในตลาด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ลงทุน 2026: พลิกเกม ‘Physical AI’ – คว้าโอกาสบนฟองสบู่
จิตตะ เปิดตัว ‘Omni Fund’ กองทุนส่วนบุคคล บริหารพอร์ตอัตโนมัติด้วย AI




