หากย้อนเวลากลับไปในปี 1999 ปีที่โลกกำลังตื่นตระหนกกับปัญหา Y2K และอินเทอร์เน็ตยังเป็นดินแดนสนธยาสำหรับคนส่วนใหญ่ เด็กหนุ่มชั้น ม.5 จากโรงเรียนเซนต์ดอมินิกคนหนึ่ง กลับเลือกที่จะขลุกตัวอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แทนที่จะออกไปเดินสยามสแควร์ เขาใช้เวลาไปกับการแกะโค้ด HTML เรียนรู้เรื่องการจดโดเมนเนม และฝากเว็บไซต์ไว้กับโฮสติ้งยุคบุกเบิกอย่าง GeoCities หรือ Hypermart เพียงเพื่อความสุขเล็ก ๆ ที่ได้เห็นตัวเลข “Counter” นับจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ขยับขึ้นในแต่ละวัน
นั่นคือปฐมบทของ นิ้ง-ธรรณพ สมประสงค์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Thaiware.com และนายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย (TWA) คนปัจจุบัน ชายผู้เปลี่ยน Passion ในวัยเยาว์ภายใต้ชื่อ “Thaiware.com” ให้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่มียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และยืนหยัดผ่านคลื่นลมแห่งเทคโนโลยีมากว่า 2 ทศวรรษครึ่ง
ภายใต้ความสำเร็จที่เห็นเบื้องหน้า บทสัมภาษณ์นี้จะพาคุณไปสำรวจบาดแผลแห่งการเปลี่ยนแปลง และความเจ็บปวดที่กลายเป็นบทเรียนสำคัญ สู่การสร้าง “บ้าน” บนโลกออนไลน์ที่มั่นคงที่สุด
กับดักความสำเร็จ: เมื่อคำว่า “คนเข้าเว็บเอง” กลายเป็นยาพิษ

ในโลกธุรกิจ คำว่า “ความสำเร็จ” มักหอมหวานเสมอ แต่สำหรับ คุณธรรณพแล้ว ความสำเร็จในยุคแรกเริ่มของ Thaiware กลับกลายเป็น “กับดัก” ที่น่ากลัวที่สุดโดยไม่รู้ตัว
ย้อนกลับไปในยุคดอทคอมเฟื่องฟู Thaiware เติบโตขึ้นมาในยุคที่พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้คนยังตรงไปตรงมา “สมัยก่อนคนเข้า Thaiware.com คือคนพิมพ์ชื่อเว็บ Thaiware.com ลงไปในช่อง URL โดยตรง” คุณธรรณพเล่าถึงความมั่นใจในอดีตที่เชื่อเสมอว่า ขอแค่ทำคอนเทนต์ให้ดี เดี๋ยวคนก็วิ่งเข้ามาหาเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาช่องทางอื่น ความมั่นใจนี้เองที่ทำให้เขามองข้ามสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกดิจิทัล
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “คนเลิกพิมพ์ชื่อเว็บ แต่หันไปพิมพ์สิ่งที่ต้องการใน Google หรือกดผ่านลิงก์บน Facebook แทน” ผลลัพธ์ที่ตามมาคือหายนะ ยอดผู้เข้าชมลดฮวบ รายได้จากโฆษณาที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักร่วงหล่น แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าตัวเลขคือความรู้สึก
“ช่วงนั้นถือเป็นยุคตกต่ำที่สุดยุคหนึ่งในชีวิตผมเลย” คุณธรรณพเปิดใจถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยและท้อแท้ เพราะเมื่อรู้ตัวว่าปรับตัวช้าเกินไป เขาต้องแบกรับภาระหนักอึ้งในการ “ผ่าตัดองค์กร” เพื่อทำ 3 เรื่องใหญ่พร้อมกันในเวลาเดียว นั่นคือ การทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อดึงคนจาก Google, การสร้างตัวตนบน Social Media และการปรับเว็บไซต์ให้เป็น Mobile Version รองรับหน้าจอมือถือ
ทั้งหมดยิ่งยากลำบากขึ้นเมื่อต้องทำด้วยทรัพยากรบุคคลที่มีจำกัดเพียง 4-5 คน เสมือนบริษัทเพิ่งเริ่มต้นใหม่ บทเรียนราคาแพงครั้งนี้สอนให้รู้ว่า “อีโก้” และความยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ คือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด และทางรอดเดียวคือต้องยอมทิ้งความเชื่อเก่า แล้วเปิดใจรับฟังการเปลี่ยนแปลงของโลก
จุดเปลี่ยนพันล้านไบต์: จาก “คนทำสื่อ” สู่ “ผู้แก้ปัญหาองค์กร”
ในวิกฤตินั้นเอง คุณธรรณพได้มองเห็น “โอกาส” ที่ซ่อนอยู่ในเสียงบ่นและคำถามเดิม ๆ ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ นั่นคือ “โปรแกรมนี้ดีจัง อยากซื้อตัวเต็มต้องทำอย่างไร?”
ในยุคแรกเริ่ม Thaiware เป็นเพียงสื่อกลางที่รวบรวมซอฟต์แวร์ประเภท Freeware และ Shareware ให้คนดาวน์โหลดไปทดลองใช้ เมื่อผู้ใช้ถูกใจและอยากซื้อลิขสิทธิ์ คุณธรรณพก็ทำหน้าที่เพียงแค่ชี้เป้าให้ไปติดต่อผู้พัฒนาโดยตรง แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อกำแพงภาษาและระบบการชำระเงินกลายเป็นอุปสรรคใหญ่
“สมัยนั้น Google Translate ยังไม่ฉลาดเหมือนตอนนี้ ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน การจะโอนเงินไปซื้อซอฟต์แวร์ต่างประเทศก็ยุ่งยากและน่ากลัวในสายตาคนทั่วไป” ความยุ่งยากเหล่านี้กลายเป็น “Pain Point” ที่ทำให้คุณธรรณพตัดสินใจนำความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซที่ร่ำเรียนมา ผันตัวมาเป็น “ตัวกลาง” (Reseller) เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนไทยสามารถเข้าถึงซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ได้ง่ายขึ้น
แต่ภารกิจนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ซอฟต์แวร์ต่างประเทศ คุณธรรณพยังมองเห็นเพชรเม็ดงามในวงการ “ซอฟต์แวร์ไทย” ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมบัญชี โปรแกรมบริหารงานบุคคล หรือแม้แต่โปรแกรมคาราโอเกะ ที่ฝีมือคนไทยพัฒนาได้ดีเยี่ยม แต่ขาดความน่าเชื่อถือหรือช่องทางการจัดจำหน่าย
“ปณิธานของ Thaiware คือการสนับสนุนซอฟต์แวร์ไทย ผู้พัฒนาบางคนอยู่ต่างจังหวัดอย่างเชียงใหม่หรือชลบุรี ลูกค้าในกรุงเทพฯ ก็ไม่กล้าซื้อเพราะกลัวถูกหลอก เราจึงเข้ามาเป็นตัวกลางสร้างความเชื่อมั่น (Trust) ว่าซื้อผ่าน Thaiware ได้ของแน่นอน และเราช่วยดูแลให้”
จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายรายย่อยที่เริ่มจากโปรแกรมเล็ก ๆ อย่าง WinZip Thaiware เติบโตจนกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดแบรนด์ซอฟต์แวร์ชั้นนำทั่วโลกให้วิ่งเข้าหา ปัจจุบันบริษัทได้ทรานส์ฟอร์มจาก Media Company มาเป็น “Corporate Software Reseller” เต็มตัว สร้างรายได้กว่า 130 ล้านบาทต่อปี โดยถือครอง
สินค้าในมือกว่าหลายร้อยแบรนด์จากทั่วโลก และได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผู้จัดจำหน่ายหลักให้กับ 4-5 แบรนด์ซอฟต์แวร์ระดับโลกชื่อดัง เช่น TeamViewer, AnyDesk และล่าสุดคือ Canva ที่ Thaiware ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายภาคธุรกิจเจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทย
กุญแจความสำเร็จที่ทำให้ Thaiware แตกต่างจากพ่อค้าคนกลางทั่วไป คือ “จิตวิญญาณความเป็นครู” ที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของคุณธรรณพ ผู้ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนวิชาคอมพิวเตอร์และอีคอมเมิร์ซที่โรงเรียนอินเทอร์เน็ตและการออกแบบ (NetDesign) และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) มานานนับ 10 ปี
“ลูกค้ามาหาเราเพราะคอนเทนต์ที่เราทำสะสมมาตลอด 25 ปี มันทำให้เขามั่นใจว่า Thaiware รู้จริงเรื่อง ซอฟต์แวร์ เราไม่ได้แค่ขายกล่อง แต่เราใช้คอนเทนต์ด้านซอฟต์แวร์ ที่เป็นจุดแข็ง ที่มาจากจุดเริ่มต้นของเรา ให้ความรู้และแก้ปัญหาให้ลูกค้า จนกลายเป็น Core Competency ที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก”
“คน” คือกำแพงที่สูงที่สุด ในมิติของการทำ Digital Transformation ให้ลูกค้าองค์กร คุณธรรณพพบสัจธรรมว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือ “End User” หรือคนทำงานจริง ที่มักยึดติดกับความคุ้นเคยเดิม ๆ หน้าที่ของ Thaiware จึงต้องเข้าไปสาธิตและทำให้เห็นว่า เครื่องมือใหม่จะช่วยลดเวลาการทำงานจากเป็นชั่วโมงให้เหลือเพียงไม่กี่นาทีได้อย่างไร
แนวคิดเรื่อง “คน” ยังสะท้อนผ่านการบริหารองค์กรภายใน Thaiware ที่มีพนักงานราว 45 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Gen Y และ Gen Z คุณธรรณพใช้วิธีบริหารแบบ “Active Listening” คือการรับฟังโดยไม่ด่วนตัดสิน เพื่อเชื่อมช่องว่างระหว่างวัยและดึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่ออกมา
Digital Headquarter: กองบัญชาการที่ธุรกิจ”ต้องมี”
หนึ่งในมุมมองที่คุณธรรณพตกผลึกและย้ำเสมอ คือบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่าง “เว็บไซต์” และ “โซเชียลมีเดีย” ซึ่งเป็นกับดักที่ผู้ประกอบการยุคใหม่มักหลงทาง
“โซเชียลมีเดียเปรียบเสมือน ‘กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก’ ธรรมชาติของมันคือความรวดเร็ว เนื้อหาจะถูกดันลงไปด้านล่างเรื่อย ๆ (Dump) การจะย้อนกลับไปหาข้อมูลเก่าหรือผลงานชิ้นสำคัญ (Portfolio) เปรียบเสมือนการงมเข็มในมหาสมุทร” คุณธรรณพเปรียบเปรยให้เห็นภาพของไทม์ไลน์ที่ไหลไปตามกาลเวลา ซึ่งยากต่อการเก็บรักษาองค์ความรู้หรือประวัติศาสตร์ขององค์กร
ในทางกลับกัน เว็บไซต์คือ “ห้องสมุด” (Library) หรือ “กองบัญชาการดิจิทัล” (Digital Headquarter) ที่มั่นคง มันคือบ้านที่มีโฉนดและเราเป็นเจ้าของ 100%
“ลองจินตนาการว่าคุณเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์ หรืออู่ซ่อมรถ ธุรกิจเหล่านี้ต้องการพื้นที่ในการเก็บรวบรวมผลงานและแบ่งหมวดหมู่สินค้า (Category) ให้ชัดเจน เว็บไซต์เปรียบเสมือนหนังสือที่มีสารบัญ มีเมนูที่จัดระเบียบข้อมูลได้ดีกว่าการโพสต์รูปลงบน Facebook Page ที่ต้องเลื่อนฟีดลงไปเรื่อย ๆ เพื่อหาโพสต์เก่า ๆ ทีละอัน และพื้นที่อย่าง About Us ก็มีจำกัดเกินกว่าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดได้”
ดังนั้น เว็บไซต์จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ทางรอด” ในฐานะศูนย์กลาง (Hub) ของธุรกิจในการบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อกระจายเนื้อหาออกไปยังช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มที่อาจทำให้ร้านค้าของเราหายไปในพริบตา
ภารกิจนายกสมาคมฯ: สร้างมาตรฐานด้วยโมเดล “ประเมินค่าทรัพย์สิน”
เมื่อสวมหมวกอีกใบในฐานะ นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย (TWA) รุ่นที่ 13 คุณธรรณพไม่ได้มองเป้าหมายเพียงแค่การจัดอีเวนต์ แต่เขามีวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่านั้น คือการวาง “รากฐาน” ให้วิชาชีพคนทำเว็บมีความมั่นคง
คุณธรรณพหยิบยกกรณีศึกษาจากวงการอสังหาริมทรัพย์ เมื่อครั้งที่เขาต้องจ้างบริษัทมาประเมินมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง เขาพบว่าบริษัทต่าง ๆ มีเกณฑ์ราคาที่ใกล้เคียงกันเพราะอ้างอิงจาก “สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย”
สิ่งนี้สะท้อนกลับมาที่วงการเว็บไซต์ไทยที่เป็นเสมือน “แดนสนธยา” ไร้กฎเกณฑ์ “ถ้าคุณอยากทำเว็บไซต์สักเว็บหนึ่ง แล้วลองไปถามราคาจากฟรีแลนซ์ บริษัท A และบริษัท B ต่อให้ Requirement เหมือนกันเป๊ะ คุณอาจจะได้ราคาที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล”
ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้ผู้ประกอบการ SME หรือคนตัวเล็ก ๆ ถอดใจไม่ทำเว็บไซต์ ภารกิจเร่งด่วนที่คุณธรรณพต้องการผลักดันคือการสร้าง “มาตรฐานเว็บไซต์ภาคประชาชน” ซึ่งครอบคลุม 2 มิติสำคัญ คือ มิติทางเทคนิค (Technical) เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์ และ มิติทางสังคม (Social/Legal) เช่น การปฏิบัติตาม PDPA และจริยธรรม โดยมีเป้าหมายปลายทางคือการมอบ “Badge” หรือตราสัญลักษณ์รับรองคุณภาพ เพื่อให้ทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างมีมาตรฐานกลางที่ยึดถือร่วมกันได้
นอกจากนี้ เขายังมุ่งมั่นสานต่อโครงการระดับตำนานอย่าง Young Webmaster Camp (YWC) ค่ายบ่มเพาะเยาวชนที่สร้างผู้ก่อตั้ง (Founders) และบุคลากรชั้นนำประดับวงการมาแล้วนับสิบรุ่น ซึ่งถือเป็นมรดก (Legacy) ที่สมาคมฯ ภาคภูมิใจ
ศรัทธาใน “บ้าน” ท่ามกลางพายุ AI: เมื่อความจริงใจคือทางรอดสุดท้าย
เมื่อคลื่นเทคโนโลยีระลอกใหม่อย่าง AI ถาโถมเข้ามา คุณธรรณพมองปรากฏการณ์นี้เปรียบเสมือน “งูกินหาง” ที่ AI เรียนรู้ข้อมูลจากเว็บไซต์ แล้วคนก็ใช้ AI ผลิตคอนเทนต์กลับลงไปในเว็บไซต์ วนเวียนกันไป
ในมุมหนึ่ง AI คือโอกาสที่ช่วยลดเวลาการทำงาน เช่น การเขียนโค้ดเว็บไซต์ แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือความเสี่ยงที่จะสร้าง “ขยะข้อมูล” (Useless Content) มหาศาลลงสู่มหาสมุทรอินเทอร์เน็ต ทักษะที่คนรุ่นใหม่ต้องมีจึงไม่ใช่แค่การใช้เครื่องมือเป็น แต่คือ “การตั้งคำถาม” (Questioning) และ “การคิดวิเคราะห์” (Critical Thinking) เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
และไม่ว่าโลกจะหมุนไปสู่ยุค AI ครองเมือง คุณธรรณพยังคงยึดมั่นในปรัชญาเดิมที่พา Thaiware ข้ามผ่านวิกฤตมาตลอด 25 ปี นั่นคือ “ความจริงใจ” (Sincerity) และ “ข้อเท็จจริง” (Fact)
“จงทำคอนเทนต์ที่ ‘จริง’ และ ‘จริงใจ’ โดยไม่หวังแค่ยอดไลก์ ยอดวิว หรือการปั่นกระแส (Clickbait) แบบฉาบฉวย เพราะในยุคที่ข้อมูลปลอมและ AI สร้างภาพได้เนียนตา ความน่าเชื่อถือคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดที่ AI สร้างเลียนแบบไม่ได้ และมันคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้คนยังคงศรัทธาและกลับมาที่ ‘บ้าน’ หลังนี้เสมอ”
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Unilever เปิดคัมภีร์ ‘Precision at Scale’: ใช้ AI เจาะใจลูกค้าในสเกลระดับมหภาค
‘จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์’ ผู้สร้างสรรค์ธุรกิจรักษ์โลก จาก Waste สู่ Sustainable Textile
พลิกความรักสู่ธุรกิจ: ‘ภูริ์ บัณฑิตกุล’ และเบื้องหลังความสำเร็จของ ‘หน้าแมว’



