Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

ไทยลุย ‘สนธิสัญญาพลาสติกโลก’ เมินรีดภาษี-ดัน EPR พลิกโฉมธุรกิจ

ไทยลุย 'สนธิสัญญาพลาสติกโลก' เมินรีดภาษี-ดัน EPR พลิกโฉมธุรกิจ

ในห้วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง วิกฤติ สิ่งแวดล้อม ประเด็นเรื่อง “พลาสติก” ได้ถูกยกระดับจากการรณรงค์ทั่วไปสู่ข้อตกลงระดับโลกที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ล่าสุด ดร.สุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได้ออกมาตอกย้ำถึงท่าทีของประเทศไทยในเวทีเจรจาระดับนานาชาติ หรือที่เรียกกันว่า “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” (Global Plastics Treaty) ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการจัดการขยะ แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งสำคัญที่ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวขนานใหญ่

จากนวัตกรรมสู่ “วิกฤติ” มลพิษระดับโลก

สถานการณ์พลาสติกโลกในปัจจุบันถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ โดยมีตัวเลขที่น่าตกใจว่าขยะพลาสติกกว่า 11 ล้านตันไหลลงสู่ทะเลและมหาสมุทรในแต่ละปี และหากไม่มีมาตรการจัดการที่จริงจัง ตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าภายในปี ค.ศ. 2040 แม้เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าพลาสติกคือนวัตกรรม (Innovation) ที่สร้างความสะดวกสบายให้มนุษยชาติ แต่เมื่อผ่านการบริโภคและขาดการจัดการที่ถูกต้อง มันกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายระบบนิเวศอย่างรุนแรง

ด้วยเหตุนี้ สหประชาชาติ (United Nations) จึงได้ริเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ หรือที่รู้จักในนามสนธิสัญญาพลาสติกโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการพลาสติกตลอดวัฏจักรชีวิต (Lifecycle) ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การบริโภค ไปจนถึงการจัดการหลังการใช้งาน เพื่อเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจแบบใช้แล้วทิ้ง (Linear Economy) ไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อน

เดินหน้าแผนระยะ 3 สานต่อเป้าหมายรีไซเคิล 100%

สำหรับประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษได้วางแผนปฏิบัติการไว้อย่างชัดเจนภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561-2573 โดยปัจจุบันการขับเคลื่อนอยู่ในช่วงแผนปฏิบัติการระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ที่มีความเข้มข้นในการปฏิบัติจริง แต่เพื่อไม่ให้เกิดรอยต่อในการดำเนินงาน ดร.สุรินทร์ เผยว่าภาครัฐได้เริ่มกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการระยะที่ 3 สำหรับช่วงปี พ.ศ. 2571-2575 ไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อรับประกันความต่อเนื่องของนโยบาย เป้าหมายสำคัญยังคงมุ่งเน้นการลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic) เช่น ขวด ฝาขวด ฟิล์มพลาสติก ถุงหูหิ้ว และแก้วพลาสติก โดยมุ่งหวังที่จะนำพลาสติกเหล่านี้กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลให้ได้ร้อยละ 100 ภายในปี พ.ศ. 2573

กลไกสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริงได้ ไม่ใช่เพียงการรณรงค์จิตสำนึก แต่คือการใช้หลักการทางวิศวกรรมและการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-design) มาปรับใช้ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกสามารถเข้าสู่ระบบหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ภาครัฐตระหนักดีว่าลำพังเพียงการจัดการปลายทางไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องยกระดับสู่การออกกฎหมายบังคับใช้ที่ครอบคลุมทั้งระบบ

จุดยืนไทย: เลี่ยงเก็บภาษีพลาสติกใหม่เน้นสร้าง “Incentive”

ประเด็นที่น่าสนใจและถือเป็นข่าวดีสำหรับภาคอุตสาหกรรม คือท่าทีของกรมควบคุมมลพิษต่อกระแสโลกเรื่องการเก็บภาษีเม็ดพลาสติกบริสุทธิ์ (Virgin Plastic Tax) โดย ดร.สุรินทร์ ระบุชัดเจนว่า แม้ทิศทางโลกจะมุ่งไปทางนั้น แต่สำหรับประเทศไทย ได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและเห็นตรงกันว่า ยังไม่ต้องการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อลงโทษผู้ใช้พลาสติกใหม่ในทันที แต่จะมุ่งเน้นการใช้ “มาตรการสร้างแรงจูงใจ” (Incentive) เป็นตัวนำ

แนวทางดังกล่าวจะมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการที่นำเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (Recycled Content) มาใช้ในกระบวนการผลิต หรือผู้ที่ลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง โดยอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการสนับสนุนอื่น ๆ แทน ซึ่งถือเป็นกุศโลบายที่ต้องการดึงภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่าน มากกว่าการผลักภาระต้นทุนให้สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น

4 เสาหลักกลไกขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน

เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผล กรมควบคุมมลพิษได้วางกรอบยุทธศาสตร์ผ่าน “4 เสาหลัก” (4 Pillars) ที่จะทำงานสอดประสานกัน ได้แก่ ด้านกฎหมาย ที่ต้องพัฒนาให้ครอบคลุมตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ด้านกลไกทางการเงิน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนระบบ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ที่ต้องเร่งส่งเสริมการลงทุนเพื่อรองรับการจัดการขยะพลาสติกสมัยใหม่ และสุดท้ายคือ ด้านการมีส่วนร่วม ที่ต้องสร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่ผู้ผลิตจนถึงผู้บริโภค

กฎหมาย EPR: ความท้าทายใหม่ของภาคอุตสาหกรรม

ภายใต้เสาหลักด้านกฎหมายและกลไกการเงิน จุดเปลี่ยนสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องจับตามองคือ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน (Sustainable Packaging Management Act) ซึ่งจะนำหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility – EPR) มาใช้เป็นกฎหมายภาคบังคับ โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในปี พ.ศ. 2570-2571 กฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อบรรจุภัณฑ์ของตนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงการกำหนดมาตรฐานส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิลในผลิตภัณฑ์

ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแรงกดดันภายในประเทศ แต่เป็นผลพวงจากมาตรการทางการค้าระดับโลก โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้กำหนดมาตรฐานสินค้าบรรจุภัณฑ์ไว้อย่างเข้มงวด หากผู้ประกอบการไทยไม่สามารถปรับตัวตามกติกาใหม่นี้ได้ ก็อาจสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ดังนั้น การปรับตัวสู่ระบบ EPR จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของอุตสาหกรรมไทยในการยืนหยัดบนเวทีการค้าโลก

บทสรุปแห่งความร่วมมือ

การแก้ปัญหาขยะพลาสติกไม่ใช่ภารกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริง ตั้งแต่การลดการใช้ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ ไปจนถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการรีไซเคิล กรมควบคุมมลพิษยืนยันว่าจะเดินหน้าผลักดันกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการพัฒนาที่ยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

รับมือยุค ‘ควอนตัม’: ทางรอดธุรกิจเมื่อระบบความปลอดภัยเดิมใช้ไม่ได้ผล

สภาอุตฯ ชู ‘End of Waste’ เปลี่ยนขยะเป็นทอง

×

Share

ผู้เขียน