ในขณะที่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2026 ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีไม่ได้เผชิญกับคำถามที่ว่า “Fed จะลดดอกเบี้ยหรือไม่” อีกต่อไป แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ “Fed จะยอมปล่อยให้สภาพคล่องไหลเข้าสู่ระบบได้มากแค่ไหน” บทสรุปจากการประชุมนโยบายในช่วงปลายปี 2025 ที่ผ่านมา ได้ทิ้งรายละเอียดที่เรียกว่า “Hawkish Cut” (การลดดอกเบี้ยที่มาพร้อมความแข็งกร้าว) ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางของ Bitcoin และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลตลอดปี 2026
ร่องรอยจากปี 2025 สู่การกำหนดเพดาน
แม้ว่าในเดือนธันวาคม 2025 Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงมาอยู่ที่ 3.50%–3.75% ซึ่งดูเหมือนเป็นสัญญาณเชิงบวก (Dovish) แต่สิ่งที่ตลาดอาจจะต้องเผชิญในปีหน้าคือ “กำแพงวาทกรรม” จากเจ้าหน้าที่ Fed ข้อมูลจาก 2026 Dot Plot ล่าสุดส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มได้เพียง “อีกครั้งเดียว” ตลอดทั้งปี 2026 นี้
การคาดการณ์ที่เข้มงวดนี้สะท้อนว่าคณะกรรมการ FOMC ยังคงมีความแตกแยกภายในสูงโดยกลุ่มที่เรียกว่า “เหยี่ยว” (Hawks) ยังคงกังวลว่าเงินเฟ้ออาจจะกลับมาพุ่งสูงขึ้นได้ทุกเมื่อ หากมีการเร่งฉีดสภาพคล่องเร็วเกินไป ผลลัพธ์สำหรับปี 2026 คือ สภาพแวดล้อมทางการเงินที่ไม่ตึงตัวแต่ก็ไม่ผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้ตลาดคริปโทฯ ไม่มีแรงส่งจากนโยบายการเงิน (Macro Tailwinds) ที่รุนแรงเหมือนในรอบปี 2020-2021
ปฏิกิริยาของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
หลังจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2025 ราคา Bitcoin ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ทันทีแต่ช่วงราคายังคงต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมองความเป็นไปได้ในอนาคตผ่านนโยบายสหรัฐอเมริกาได้ว่าปัจจัยมหภาคจะเริ่มลดความสำคัญลงและปัจจัยเชิงโครงสร้างจะเข้ามาแทนที่
สิ่งที่ต้องจับตามองต่อไปในปี 2026
- Institutional Absorption คือแรงหนุนจาก Fed มีจำกัด ตลาดจะหันไปพึ่งพาแรงซื้อจากสถาบันผ่าน Spot Bitcoin ETF และ Spot Ethereum ETF อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2026 คาดว่าจะเห็นการจัดสรรพอร์ต (Portfolio Allocation) จากกองทุนบำเหน็จบำนาญและที่ปรึกษาทางการเงินในวงกว้างขึ้น
- ความชัดเจนด้านกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมาย Stablecoin อย่าง GENIUS Act และแนวทางปฏิบัติสำหรับสถาบันการเงินในสหรัฐฯ จะเป็นเครื่องมือหลักที่ผลักดันราคา แทนที่จะรอสัญญาณจาก Fed
- สภาพคล่องที่ลาช้าที่ได้รับผลกระทบมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2025 จะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนในการส่งผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจริง ดังนั้น เราอาจเริ่มเห็นสภาพคล่องส่วนเกินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลต้นปี 2026
บทสรุป
แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคในปี 2026 ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนโยบายการเงินที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ดำเนินนโยบายแบบ Restrictive Easing หรือนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายหรือที่สะท้อนผ่าน “Hawkish Cut” ในช่วงปลายปี 2025 สภาวะดังกล่าวส่งผลให้การบริหารจัดการสภาพคล่องในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลต้องเผชิญกับตัวแปรที่แตกต่างจากวัฏจักรปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงในอัตราที่ช้ากว่าความคาดการณ์ของตลาด
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ตลาดคริปโตในปี 2026 มีแนวโน้มที่จะได้รับอิทธิพลจากการพัฒนาเชิงโครงสร้าง (Structural Development) มากขึ้น อาทิ การขยายตัวของผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับสถาบันและความชัดเจนของกรอบการกำกับดูแล ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเข้ามามีบทบาทในการรองรับความผันผวนจากนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงกับทิศทางดอกเบี้ยยังคงมีอยู่สูง การติดตามการเปลี่ยนแปลงเชิงอำนาจระหว่างกลุ่ม “พิราบ” (Doves) และกลุ่ม “เหยี่ยว” (Hawks) ภายในคณะกรรมการ FOMC จึงยังคงเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญ หากข้อมูลทางเศรษฐกิจในอนาคตนำไปสู่การปรับเปลี่ยนจุดยืนนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้น ก็อาจส่งผลต่อการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวม
โดยภาพรวม ปี 2026 จึงเป็นระยะเวลาของการปรับตัวตามกลไกตลาดโดยที่สภาพคล่องจากนโยบายการเงินและปัจจัยการยอมรับเชิงโครงสร้างจะทำงานควบคู่กันไป การเคลื่อนไหวของราคาจึงมีแนวโน้มที่จะสะท้อนถึงทั้งเสถียรภาพของนโยบายมหภาคและความเชื่อมั่นในนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัลในระยะยาว
คำเตือน
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต
อ้างอิง: Federal Reserve issues FOMC statement
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
Real-World Assets (RWA) คลื่นแห่งการเชื่อมโลก TradFi สู่ DeFi
จากบัญชีออมทรัพย์สู่ลงทุนคริปโทฯ เมื่อ Gen Z มองความผันผวนเป็นโอกาส



