Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

ปฏิวัติ ‘ผู้เสพ’ สู่ ‘ผู้สร้าง’ ใช้ ‘ระบบนิเวศสื่อ’ พลิกเศรษฐกิจ

ถอดรหัส ดร.ธนกร: ปฏิวัติ 'ผู้เสพ' สู่ 'ผู้สร้าง' ใช้ 'ระบบนิเวศสื่อ' พลิกเศรษฐกิจ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่าท่วมท้นจนยากจะแยกแยะ ความท้าทายของประเทศไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดการกับข่าวปลอมหรือเนื้อหาที่เป็นพิษ แต่กำลังขยับขยายไปสู่คำถามที่ใหญ่กว่านั้น คือเราจะเปลี่ยน “สื่อ” ให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่ทรงพลังที่สุดของชาติได้อย่างไร ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดมุมมองที่ลึกซึ้งผ่านเวที Exclusive Talk ในหัวข้อ “Safe and Creative Media: The Positive Power of Modern Media” บนเวทีเสวนาวิชาการ “สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์และทิศทางสื่อปี 2569” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ใหม่ที่ไม่ได้มองสื่อเป็นเพียงช่องทางการสื่อสาร แต่มองเป็น “สินค้าวัฒนธรรม” ที่จะกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ

ความจริงของ ระบบนิเวศสื่อและข้อจำกัดที่ต้องยอมรับ

หัวใจสำคัญที่ ดร.ธนกร หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นแรกคือคำว่า “ระบบนิเวศสื่อ” (Ecosystem of media) ซึ่งเป็นทั้งเป้าหมายและความฝันของกองทุนฯ ท่านอธิบายความหมายของคำนี้ไว้อย่างเรียบง่ายโดยเปรียบเทียบกับระบบนิเวศในชนบทที่มีองค์ประกอบหลากหลายปะปนกัน ทั้งบ้านเรือน สวนผลไม้ ทุ่งนา ดอกบัวที่งดงาม แต่ก็ยังมีโคลนตมและวัชพืชที่ไม่พึงประสงค์อยู่ร่วมด้วย

ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือ เราไม่สามารถขจัดสื่อที่ไม่ดีหรือ “น้ำเน่า” ออกไปได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในบริบทของสังคมไทยที่กองทุนฯ ย้ำชัดเจนว่าตนเอง “ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย” ในการไปไล่จับผิดหรือบังคับใช้กฎหมายกับแพลตฟอร์มต่างชาติ กฎหมายที่มีอยู่ก็ตามไม่ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว สิ่งที่ทำได้คือการใช้ “มาตรการทางสังคม” บริหารจัดการให้เกิดความสมดุล ให้สื่อน้ำดีและสื่อที่เป็นพิษอยู่ร่วมกันได้โดยไม่สร้างปัญหาจนเกินรับไหว

ปัจจุบันเราเห็นภาพสะท้อนของปัญหานี้ได้ชัดเจนจากการที่ผู้สูงอายุถูกหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ หรือเด็กและเยาวชนที่เสพคอนเทนต์สร้างตัวตนเทียมจนเกิดภาวะซึมเศร้าและสับสนในโลกความเป็นจริง หน้าที่ของกองทุนฯ จึงเปรียบเสมือนการสร้างภูมิคุ้มกันและทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ให้คนไทยสามารถ “ว่ายทวนน้ำ” ท่ามกลางกระแสธารข้อมูลที่เชี่ยวกรากและเน่าเหม็นนี้ขึ้นไปให้ได้

บทเรียนจากมหาอำนาจ และภัยคุกคามจากอัลกอริทึม

ดร.ธนกร ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างเชิงยุทธศาสตร์เมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนที่กำหนดบทบาทของสื่อไว้อย่างชัดเจนว่ามีหน้าที่หลักในการ “สร้างวัฒนธรรม” ให้กับประเทศ ในขณะที่ประเทศไทยมักถกเถียงกันเรื่องเสรีภาพในการนำเสนอ แต่กลับหลงลืมที่จะตั้งคำถามว่าเราต้องการให้สื่อทำหน้าที่อะไรให้กับประเทศชาติ ความสำเร็จของเกาหลีใต้และจีน คือตัวอย่างของการใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการ “ผลิตซ้ำทางวัฒนธรรม” และแทรกซึมสินค้าทางวัฒนธรรมเข้าไปในเนื้อหาอย่างแนบเนียน (Soft Power) โดยไม่ต้องยัดเยียด

อีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือเรื่อง “อธิปไตยทางข้อมูล” ดร.ธนกร ชี้ให้เห็นความน่ากลัวของแพลตฟอร์มต่างชาติที่ใช้อัลกอริทึมเก็บข้อมูลจน “รู้จักตัวเรามากกว่าที่เรารู้จักตัวเอง” เพียงแค่เรานึกถึงอะไร ภาพนั้นก็อาจจะปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอทันที ข้อมูลพฤติกรรมคนไทยถูกดูดออกไปวิเคราะห์เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของต่างชาติ ดังนั้น การผลักดันให้เกิด “แพลตฟอร์มสัญชาติไทย” จึงเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อปกป้องข้อมูลและความมั่นคงของชาติ

เดิมพันครั้งใหม่บนตัวเลข GDP ที่น่าตกใจ

ดร.ธนกร กล่าวว่า GDP ของไทยในปัจจุบันอาจเติบโตเพียง 1.5 – 1.6% เท่านั้น ซึ่งไม่ถึง 2% ตามเป้าหมาย ตัวเลขนี้เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าวิธีการหาเงินแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าเกษตรอย่างยางพารา อ้อย หรือแข่งขันในอุตสาหกรรมหนักอย่างยานยนต์ เราไม่สามารถสู้คู่แข่งอย่างเวียดนามได้อีกต่อไป รัฐบาลแทบไม่มีสินค้าอะไรเหลือขายแล้ว นอกจาก “สินค้าวัฒนธรรม”

สินค้าวัฒนธรรมมีความพิเศษคือเป็นสินค้าที่ “กินด้วยอายตนะ” (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ซึ่งต่างจากสินค้าเกษตรที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ปลูกและการเน่าเสีย สินค้าวัฒนธรรมอย่างภาพยนตร์หรือซีรีส์หนึ่งเรื่อง สามารถขายซ้ำได้ทั่วโลก มีต้นทุนการผลิตครั้งเดียวแต่สร้างมูลค่าได้อย่างไม่จำกัด (Unlimited Demand) นี่คือขุมทรัพย์ที่แท้จริงที่ไทยต้องเร่งขุดค้นขึ้นมา

พลังของ “Local Content” และโมเดลการเงิน“หลีเป๊ะ”

การขับเคลื่อนนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ผลิตรายใหญ่ แต่ยังลงลึกไปถึงระดับชุมชนผ่านการสร้าง “เนื้อหาท้องถิ่น” (Local Content) ดร.ธนกร ยกตัวอย่างการปรับตัวของศิลปะพื้นบ้านอย่าง “หนังตะลุง” ที่เดิมพันด้วยความโบราณ แต่เมื่อคนรุ่นใหม่นำท่าเต้นมาประยุกต์และนำเสนอผ่าน YouTube กลับสร้างยอดวิวหลักล้านได้ในชั่วข้ามคืน

นอกจากนี้ ยังนำเสนอแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืนผ่าน “โมเดลเกาะหลีเป๊ะ” ที่มีความลึกซึ้งในเชิงบริหารจัดการ โดยเสนอให้มีการ “ปิดเกาะ” เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ แต่ไม่ใช่การสั่งปิดเฉย ๆ รัฐต้องมี “เจ้าภาพทางการเงิน” เข้ามาการันตีรายได้ให้ชาวบ้าน เช่น หากชาวบ้านมีรายได้ปีละ 20 ล้านบาท รัฐก็ต้องหาเงิน 20 ล้านบาทมาชดเชยให้ตลอดช่วงที่ปิดเกาะ ในระหว่างนั้น ให้ชาวบ้านทำหน้าที่ฟื้นฟูปะการังและบริหารจัดการขยะ พร้อมกับทำหน้าที่เป็น “สื่อ” ไลฟ์สด (Live Streaming) บรรยากาศการฟื้นตัวของธรรมชาติให้โลกเห็นทุกวัน เพื่อเลี้ยงกระแสความสนใจ เมื่อเปิดเกาะอีกครั้ง จะสามารถยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวราคาสูง (High Value) ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณได้ทันที

ยุทธศาสตร์การให้ทุนและการฟิวชั่นเทคโนโลยี

เพื่อให้ระบบนิเวศนี้เกิดขึ้นจริง กองทุนสื่อฯ ได้วางกลยุทธ์การให้ทุนปี 2567 ที่มีความละเอียดและครอบคลุมถึง 5 ประเภท เริ่มตั้งแต่ทุนสำหรับบุคคลธรรมดาและคนตัวเล็กตัวน้อย (วงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท), ทุนสตาร์ตอัป (ไม่เกิน 2 ล้านบาท), ทุนมืออาชีพ, ทุนความร่วมมือ และทุนโครงการขนาดใหญ่ (Strategic Grant) ที่เน้นการร่วมทุนกับภาคเอกชน

ที่น่าสนใจคือวิสัยทัศน์ในอนาคตที่ ดร.ธนกร เตรียมเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีน เพื่อถอดบทเรียนเรื่องการใช้ AI และเทคโนโลยีโดรน ในภาคการเกษตร เพื่อนำกลับมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการผลิตสื่อและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกรไทย แสดงให้เห็นว่ากองทุนสื่อฯ ไม่ได้มองแค่เรื่องศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม แต่กำลังมองหาจุดเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

แม้จะยอมรับว่าวงการสื่อไทยในปัจจุบันได้เสื่อมถอยจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ในมุมมองของ ดร.ธนกร นั่นหมายความว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเกิดการ “ดับแล้วเกิดใหม่” อนาคตของประเทศไทยจึงฝากความหวังไว้ที่การสร้างสรรค์เศรษฐกิจใหม่บนฐานวัฒนธรรม (Creative Economy) ภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นการผนึกกำลังของคนทั้งระบบนิเวศเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากผู้ซื้อเทคโนโลยี สู่ผู้ขายวัฒนธรรมอย่างเต็มภาคภูมิ

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

BLS ฟันธงหุ้นโลกปี 69 ‘ขาขึ้น’ แนะตุน ‘กองทุนเทคฯ’ รับเมกะเทรนด์ AI

สมรภูมิสตรีมมิ่ง: เมื่ออำนาจเลือกสื่อ ย้ายจาก ‘สถานี’ สู่ ‘ปลายนิ้ว

AI สะพานดิจิทัล: Shanhai Group พลิกโฉมละครสั้นจีน ทะลวงตลาดไทย-อาเซียน

×

Share

ผู้เขียน