หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 การตรวจเช็คความปลอดภัยด้านต่าง ๆ ของอาคารล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะด้านไฟฟ้า เนื่องจากสายไฟทั้งบนดินและใต้ดินที่ได้รับผลกระทบ อาจส่งผลให้เกิดไฟฟ้าขัดข้อง จนถึงอาจเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย
บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หนึ่งในผู้นำตลาดสายไฟฟ้าของประเทศไทย ประเมินสภาพปัญหา พร้อมแนะนำแนวทางตรวจเช็คสายไฟฟ้าสำหรับทั้งบ้านและอาคาร รวมถึงแนวทางแก้ไข และป้องกัน เพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัย
พงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) กล่าวว่า การตรวจสอบความเสียหายของสายไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าหลังแผ่นดินไหว สำหรับกลุ่มเจ้าของบ้าน เจ้าของห้องชุดในคอนโดมิเนียม ตลอดจนเจ้าของอาคาร มี 5 จุดหลักที่ต้องตรวจเช็ค ประกอบด้วย กลุ่มงานระบบไฟฟ้าของอาคาร 2 จุด คือ
- ตู้ควบคุมไฟฟ้า ตรวจสอบว่าประตูของตู้ Main Distributor Board หรือ MDB และตู้ย่อยอื่นๆ ยังปิดสนิท ไม่มีรอยบิดเบี้ยว หรือความเสียหายเชิงโครงสร้าง
- ระบบสำรองไฟฟ้า ตรวจสอบเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS) แบตเตอรี่สำรอง หรือเครื่องปั่นไฟ ว่ายังสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
และกลุ่มงานระบบและสายไฟในห้องพัก 3 จุด ได้แก่
- เบรกเกอร์หลักและระบบป้องกันไฟฟ้า เบรกเกอร์หลักต้องยังทำงาน ไม่หลุดลงเอง รวมถึงไม่ตัดวงจรอัตโนมัติ
- จุดเชื่อมต่อและการยึดติดของสายไฟฟ้า สายไฟฟ้าต้องไม่มีร่องรอยการขาด ชำรุด หรือหลุดจากจุดเชื่อมต่อ รางสายไฟและท่อร้อยสายยังคงยึดแน่นกับโครงสร้าง
- สภาพของสายไฟฟ้า ไม่มีรอยฉีกขาด ฉนวนหรือเปลือกแตก ละลาย ซึ่งอาจเป็นผลจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือความร้อนสะสม โดยนอกจากจะสังเกตทั้งหมดด้วยวิธีการมองแล้ว อาจสังเกตเพิ่มเติมด้วยการฟังเสียงผิดปกติของอุปกรณ์ ตลอดจนการดมกลิ่นไหม้ เพื่อตรวจสอบความเสียหายที่มองไม่เห็นด้วย

“กรณีเป็นเจ้าของห้องพักคอนโดมิเนียม หรือผู้เช่าห้องพักในอาคารสูง บางจุด เช่น ตู้ MDB อาจไม่สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ รวมถึงอาจมีอีกหลายจุดที่ต้องรอการยืนยันความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าส่วนกลางจากบริษัทบริหารนิติบุคคลอาคารก่อน เช่น ความปลอดภัยของระบบลิฟท์ ความปลอดภัยของสายไฟในพื้นที่ส่วนกลาง การไม่มีเสาไฟล้มเอียงโดยรอบอาคาร ข้อสำคัญคือ หากพบความเสียหายในจุดต่าง ๆ ไม่ว่าในห้องพักหรือพื้นที่ส่วนกลาง ห้ามซ่อมแซมด้วยตัวเอง เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ต้องแจ้งช่างไฟฟ้าที่มีความเชี่ยวชาญให้เข้าดำเนินการแก้ไขเท่านั้น” พงศภัค กล่าว
พงศภัค กล่าวเพิ่มเติมว่า แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจทำให้สายไฟเสียหายจนเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและอัคคีภัยตามมา หากไม่ใช้สายไฟที่มีคุณภาพ หรือการติดตั้งที่ถูกวิธี การติดตั้งสายไฟลงดินเป็นอีกหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ ตัวอย่างสายไฟที่สามารถฝังลงดินได้โดยตรง เช่น สายไฟ 450/750V NYY และสายไฟ 0.6/1kV CV เป็นสายไฟที่มีตัวนำทองแดงและฉนวน XLPE (Cross-linked polyethylene) และ เปลือก PVC (Polyvinyl chloride) อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้สายไฟที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่น ทนทานต่อแรงดึงและแรงกระแทกในอาคารต่างๆ ก็มีความสำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นข้อกำหนดบังคับสำหรับทุกอาคาร อาคารใหม่ในอนาคตจึงควรให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ รวมถึงการใช้สายไฟที่ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับอาคารมากยิ่งขึ้น
ขณะที่กลุ่มอาคารดั้งเดิม อาจไม่สามารถออกแบบระบบไฟฟ้าได้ใหม่ทั้งหมด แต่สามารถแบ่งการปรับปรุงเพื่อป้องกันแผ่นดินไหวได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
- ระดับที่ทำได้ง่ายและควรทำทันที เพิ่มจุดยึด (Seismic Bracing) ให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า ตู้ MDB ตู้ไฟฟ้าย่อย และแผงควบคุมไฟฟ้า เพื่อลดความเสี่ยงจากการล้ม หรือหลุดจากตำแหน่ง เปลี่ยนจุดต่อสายไฟและขั้วต่อไฟฟ้า ให้เป็นแบบยืดหยุ่น (Flexible Connector) ป้องกันการแตกหักจากแรงสั่นสะเทือน เดินสายไฟในท่อร้อยสายที่มีความยืดหยุ่น (Flexible Conduit) โดยเฉพาะในจุดที่เสี่ยงต่อแรงดึง
- ระดับที่ต้องมีการแก้ไขโครงสร้างบางส่วน เปลี่ยนสายไฟจากแบบปกติเป็นแบบมีความยืดหยุ่นสูง ติดตั้งระบบตัดไฟอัตโนมัติ (Seismic Shutoff Switch) เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรหากเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง เสริมโครงสร้างยึดรางสายไฟ (Cable Tray & Trunking) ให้แข็งแรงขึ้น
- ระดับที่อาจต้องพิจารณาควบคู่กับการปรับปรุง (รีโนเวท) อาคาร เช่น สายไฟฝังในผนังเก่าที่แตกร้าวหรือเดินสายไฟโดยใช้ตัวนำเส้นเดี่ยว (Solid conductor) ที่มีความแข็ง ไม่ยืดหยุ่น อาจต้องพิจารณารีโนเวทโครงสร้างระบบไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด
“เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกสายไฟ ต้องเลือกใช้สายไฟที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากสายไฟ คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินโดยตรง จำเป็นต้องเลือกจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ ม.อ.ก.เท่านั้น” พงศภัค
สำหรับการเลือกสายไฟคุณภาพ ได้แก่ 1. การนำไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยวัสดุตัวนำคุณภาพสูง ใช้ทองแดงบริสุทธิ์ 99.99% มีความมันวาวชัดเจน 2. ความทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน โดยตัวนำและฉนวนอยู่กึ่งกลาง ไม่เบี้ยวหรือมีจุดที่ฉนวนบาง รวมทั้งสายไฟต้องไม่ชำรุดปริแตก บรรจุภัณฑ์ไม่ฉีกขาด และ 3. มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน มอก., ISO และมาตรฐานสากลอื่น ๆ เป็นต้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สถาบันสิ่งแวดล้อม – เดนมาร์ก – กทม. ร่วมกันแยกขยะคอนโด นำร่องเขตคลองเตย – วัฒนา
แปซิฟิกไพพ์ ชูผู้นำมาตรฐานคุณภาพเหล็ก เน้นย้ำความปลอดภัยผู้บริโภคต้องมาก่อน




