หลักทรัพย์บัวหลวง อ่านเกมขาดตลาดหุ้นโลกปี 2569 เข้าสู่ยุค “กระทิง” อีกครั้ง แนะอาศัยจังหวะปรับฐานสะสม “หุ้นเทคโนโลยี” รับเมกะเทรนด์ AI พร้อมกางแผนบริหารภาษีโค้งสุดท้ายปี 68
ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่เต็มไปด้วยความผันผวน นักลงทุนจำนวนมากต่างจับตามองทิศทางของตลาดทุนโลกด้วยความระมัดระวัง หลังจากดัชนีมีการปรับตัวลดลงสร้างความกังวลในระยะสั้น แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กลับมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤต โดยประเมินว่าปี 2569 จะเป็นปีที่สดใสของตลาดหุ้นโลก พร้อมแนะกลยุทธ์ “ตั้งรับ” เพื่อรอรับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากกระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้วิเคราะห์เจาะลึกถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นโลกว่า แม้ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ตลาดจะเผชิญแรงกดดันจนดัชนีปรับฐานลงราว 5-10% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากแรงเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ประกอบกับความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ไต่ระดับขึ้นไปค่อนข้างสูง รวมถึงปัจจัยมหภาคระยะสั้นที่เข้ามากระทบ
อย่างไรก็ตาม นายชัยพร มองว่าปรากฏการณ์การย่อตัวดังกล่าวเป็นเพียง “การปรับฐานเพื่อสร้างฐานใหม่ที่แข็งแกร่ง” หรือ Healthy Correction ก่อนที่จะดีดตัวกลับเข้าสู่รอบการฟื้นตัวครั้งใหม่ โดยมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ยังคงส่งสัญญาณบวกและไม่มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงผลประกอบการและกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
จัดทัพลงทุนรับเมกะเทรนด์: กลยุทธ์ Core-Satellite
เมื่อภาพรวมระยะยาวเป็นบวก จังหวะนี้จึงถือเป็นโอกาสทองในการเข้าสะสม “กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” ที่ยังได้รับแรงหนุนมหาศาลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง แนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบผสมผสาน หรือ “Core-Satellite” เพื่อตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงระยะยาวและการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากเทรนด์ระยะสั้น ผ่าน 5 ธีมการลงทุนหลักที่มีศักยภาพสูง
สำหรับพอร์ตส่วนหลัก (Core Portfolio) ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของพอร์ตการลงทุน แนะนำให้เน้นหนักใน 2 ธีมสำคัญ ได้แก่ “ห่วงโซ่มูลค่าของปัญญาประดิษฐ์” (AI Value Chain) ที่มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตรอบใหม่ (New S-Curve) เช่น กองทุน ES-GTECH ที่ลงทุนผ่านกองทุนระดับโลกอย่าง Polar Capital Global Technology Fund และอีกธีมที่กำลังมาแรงคือ “เทคโนโลยีป้องกันประเทศ” (Defense Tech) ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่อาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ครอบคลุมไปถึงเศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy) ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีการปล่อยยานอวกาศ ดาวเทียม เทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Tech) และแอปพลิเคชันบริการเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีกองทุน LHSPACE-A เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ในส่วนของพอร์ตส่วนเสริม (Satellite Portfolio) จะทำหน้าที่แสวงหาโอกาสจากการปรับมูลค่าหุ้นใหม่ (Repricing) เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มสร้างกระแสเงินสดได้จริง ประกอบด้วย 3 ธีมเด่น ได้แก่ “คอมพิวเตอร์ควอนตัม” (Quantum Computing) ผ่านกองทุน LHQTUM-A ที่ลงทุนครอบคลุมระบบนิเวศของ AI อย่างครบวงจร ตั้งแต่ผู้ผลิตชิป ผู้สร้างฮาร์ดแวร์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ไปจนถึงผู้ให้บริการคลาวด์ ซึ่งทั้งหมดนี้คือฟันเฟืองสำคัญที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้งาน AI ในโลกความเป็นจริง ถัดมาคือ “เทคโนโลยีสุขภาพ” (Health Tech) ผ่านกองทุน KKP GHC-A ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั่วโลกที่มีศักยภาพเติบโตสูง และสุดท้ายคือ “พลังงานนิวเคลียร์” (Nuclear Energy) ผ่านกองทุน PRINCIPAL GCLEAN-A ซึ่งลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเชื้อเพลิงสะอาดและมีประสิทธิภาพในอนาคต
ฉลาดบริหารเงิน: วางแผนภาษีด้วย RMF และ Thai ESG
นอกจากการมองหาผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ชัยพร ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 โดยแนะนำให้ผู้มีเงินได้ใช้ประโยชน์จากจังหวะที่ตลาดผันผวนนี้ในการวางแผนลดหย่อนภาษี ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว ผ่านเครื่องมือทางการเงิน 2 ประเภท ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ซึ่งในปีนี้มีความพิเศษตรงที่ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากทั้งสองกองทุนควบคู่กันได้
สำหรับกลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุนเพื่อประหยัดภาษีให้คุ้มค่าที่สุด แนะนำให้ใช้ กองทุน RMF เป็นเครื่องมือในการเปิดประตูสู่การลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ที่มีโอกาสเติบโตสูง เพื่อเป้าหมายการเกษียณอายุที่มั่งคั่ง โดยมีเงื่อนไขการลงทุนขั้นต่ำ 5 ปีและถือครองจนถึงอายุ 55 ปี สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ส่วน กองทุน Thai ESG ควรใช้สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ภายในประเทศ ทั้งหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ผ่านเกณฑ์ ESG เพื่อสร้างสมดุลให้กับพอร์ตภาษีโดยรวม โดยต้องถือครองเป็นระยะเวลา 5 ปี (แบบวันชนวัน) และสามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี หรือไม่เกิน 300,000 บาท
เพื่อให้เห็นภาพผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม คุณชัยพร ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของผู้ที่มีรายได้รวมและโบนัสประมาณ 1,500,000 บาทต่อปี หากมีการวางแผนภาษีอย่างรัดกุม โดยมีการสะสมเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 75,000 บาท จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 9,000 บาท และใช้สิทธิซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีทั้ง RMF และ Thai ESG จนเต็มสิทธิ จะส่งผลให้ภาระภาษีที่ต้องจ่ายจริงในปีนั้นลดลงเหลือเพียง 32,150 บาท จากเดิมที่หากไม่มีการวางแผนลงทุนจะต้องเสียภาษีสูงถึง 179,000 บาท ซึ่งเท่ากับว่าสามารถประหยัดเงินภาษีไปได้ถึง 146,850 บาทเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเริ่มวางแผนการลงทุนและบริหารภาษีได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Wealth Connex ของหลักทรัพย์บัวหลวง ซึ่งรวบรวมกองทุนจากกว่า 18 บลจ. ชั้นนำ พร้อมเครื่องมือและบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยคัดเลือกกองทุนตัวท็อปในทุกประเภทสินทรัพย์
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
6 องค์กร ผนึก THAI NSW เชื่อม ATIGA e-Form D ขับเคลื่อนการค้าไร้กระดาษ
EGCO Group ชูกลยุทธ์ ‘POWER4’ ทุ่ม 30,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนพลังงานสะอาด




