Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

Centaur Marketing: สูตรลับมนุษย์ ‘ขี่’ AI

Centaur Marketing: สูตรลับมนุษย์ 'ขี่' AI

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เข้ามาเพื่อเป็นเพียงแค่ผู้ช่วย แต่กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์สื่อจากหน้ามือเป็นหลังมือ การเอาตัวรอดที่แท้ริงจึงไม่ใช่การแข่งกันใช้เครื่องมือให้คล่อง แต่คือศิลปะการ “ขี่” เทคโนโลยีภายใต้โมเดล “Centaur Marketing” ที่ผสานมันสมองของมนุษย์เข้ากับพละกำลังของจักรกล ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AEO (Answer Engine Optimization) ที่ผู้คนโหยหา “คำตอบ” มากกว่า “ทางเลือก” วิจารณญาณและความเป็นมนุษย์กำลังกลับมาทวงคืนมูลค่าในฐานะ “ความหรูหรา” ที่ AI ไม่อาจลอกเลียนแบบได้

นี่คือแก่นแท้ทางความคิดที่ถูกตกผลึกในเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และ สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ซึ่ง สะท้อนทิศทางอนาคตไว้อย่างน่าสนใจว่า ชัยชนะในสมรภูมินี้ไม่ได้วัดกันที่ความล้ำสมัยของอัลกอริทึม แต่วัดกันที่ใครจะคง “จิตวิญญาณความเป็นคน” ได้เหนียวแน่นกว่ากัน

จาก SEO สู่ AEO: เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนภูมิทัศน์สื่อ

โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงที่กำลังสะเทือนวงการสื่อและการตลาดดิจิทัลอย่างรุนแรง คือการเปลี่ยนผ่านจาก SEO (Search Engine Optimization) ไปสู่ AEO (Answer Engine Optimization) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นผลมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในอดีต การทำ SEO คือการแข่งขันกันซื้อคีย์เวิร์ดหรือทำเนื้อหาให้ติดอันดับ เพื่อให้ผู้ใช้งาน “เลือก” คลิกเว็บไซต์จากรายการที่ค้นหาเจอ แต่ในยุค AEO เราไม่ได้ใส่คีย์เวิร์ดให้คนเลือกอีกต่อไป เรากำลังทำให้แมชชีน (Machine) เข้าใจบริบทว่าคนต้องการอะไร เพื่อให้แมชชีนประมวลผลและส่งมอบ “คำตอบ” ที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียวออกมาทันที นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักการตลาดและสื่อต้องรื้อวิธีคิดใหม่ เพราะลูกค้าไม่ได้ต้องการลิงก์ไปอ่านต่อ แต่ต้องการโซลูชันเดี๋ยวนั้น

แม้สถิติจะชี้ว่าคนไทย 9 ใน 10 คนใช้ AI แล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังใช้ในลักษณะที่เป็นเหมือน “Google” เวอร์ชันอัปเกรด คือใช้เป็นเครื่องคิดเลข หรือ GPS นำทาง แต่เทรนด์ที่กำลังมาแรงคือการใช้ AI ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” (Companion) หรือเครื่องมือ “ฮีลใจ” คุณโอลิเวอร์ยกตัวอย่างที่น่าสนใจว่า คนไทยมีความครีเอทีฟสูงในการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับเรื่องความเชื่อ (มูเตลู) เช่น การใช้ AI ดูดวง หรือถาม AI ว่าวันนี้ควรใส่เสื้อสีอะไรเพื่อเสริมสิริมงคลในการสัมภาษณ์งาน สะท้อนให้เห็นว่า AI กำลังแทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตและการตัดสินใจที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องงาน

การเปลี่ยนแปลงสู่ AEO ยังสอดคล้องกับความคาดหวังเรื่องความรวดเร็ว (Real-time expectation) ผู้บริโภคยุคใหม่มีความอดทนต่ำ และต้องการความพึงพอใจทันที ในเศรษฐศาสตร์แห่งความจดจ่อ (Attention Economy) หากสื่อไม่สามารถดึงความสนใจได้ภายใน 6 วินาที หรือมัวแต่ให้ผู้ใช้งานไปงมหาข้อมูลเอง ก็เท่ากับเสียโอกาสไปแล้ว AEO จึงเข้ามาตอบโจทย์ด้วยการลดขั้นตอนการค้นหาให้สั้นกระชับที่สุด

นอกจากการหาคำตอบแล้ว AI ยังเข้ามาปฏิวัติหน้าตาของสื่อ (UX/UI) อย่างสิ้นเชิง ในอนาคตเว็บไซต์จะปรับเปลี่ยนหน้าตาตามพฤติกรรมคนอ่านแบบเรียลไทม์ AI จะเรียนรู้ระดับสายตา (Eye Tracking) ว่าคนมองจุดไหนก่อนหลัง เพื่อวางตำแหน่งคอนเทนต์หรือโฆษณาให้ตรงกับจุดโฟกัสที่สุด ทำให้เส้นแบ่งระหว่างคอนเทนต์และประสบการณ์ของผู้ใช้งานแนบเนียนจนเป็นเนื้อเดียวกัน (Digital Seamless Journey)

Make AI Inconvenient: อย่าปล่อยให้AI สบายเกินไป

คุณโอลิเวอร์ขยายความถึง “กับดัก” ที่คนส่วนใหญ่มักพลาดท่าให้กับความฉลาดของ AI โดยชี้ว่า 7 ใน 10 ของผู้ใช้งานมักพุ่งเข้าหา AI เพื่อถามในสิ่งที่ตัวเอง “ไม่รู้” แต่การใช้งานในลักษณะนั้นเป็นเพียงระดับพื้นฐาน หากต้องการรีดศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ออกมาให้ได้สูงสุด เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ คือ “จงสร้างเงื่อนไขให้ AI อยู่ยากขึ้น” (Make AI Inconvenient) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหนือชั้นกว่าเดิม โดยมีเทคนิคสำคัญดังนี้

  • สวมบทบาทข้ามสายพันธุ์ (Cross-Disciplinary Persona): แทนที่จะถามตรง ๆ ตามความคุ้นชิน คุณโอลิเวอร์ยกตัวอย่างกรณีศึกษาการขายแชมพู หากเราคิดแบบปกติ เราคงถาม AI ในมุมมองของ “ช่างทำผม” ว่าผมสวยคืออะไร แต่ถ้าเราต้องการความแปลกใหม่ ลองสั่งให้ AI “มองความสวยงามของเส้นผมผ่านสายตาของนักอัญมณีศาสตร์” ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นภาษาและมุมมองที่น่าหลงใหล (Fascinating) และแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดทันที หรือการลองสมมติตัวเองเป็นอัจฉริยะทางการแพทย์แล้ววิจารณ์งานศิลปะ เพื่อให้ได้ไอเดียใหม่ ๆ ที่เกิดจากการข้ามสายความรู้
  • ใช้ AI เป็น “นักวิจารณ์ปากกล้า” (The Harsh Critic): อย่าใช้ AI แค่เจนเนอเรตไอเดีย แต่จงใช้มันตรวจสอบจุดอ่อน ตัวอย่างเช่น สั่งให้ AI สวมบทบาทเป็นเอเจนซีโฆษณาระดับโลกอย่าง “Droga5” แล้วสั่งให้หาจุดอ่อนของไอเดียนี้ เพื่อที่เราจะนำไปปิดช่องโหว่จนคู่แข่งไม่สามารถโจมตีได้ การทำเช่นนี้คือการบังคับให้ AI ทำงานหนักขึ้นในการวิเคราะห์เชิงลึก ไม่ใช่แค่การประมวลผลข้อมูลพื้นฐาน
  • ศิลปะแห่งการตั้งคำถาม (The Art of Asking Questions): กุญแจสำคัญคือการหลีกเลี่ยงคำถามปลายปิดที่ตอบเพียง ใช่/ไม่ใช่ หรือ หิว/ไม่หิว แต่ควรถามเพื่อหาทางเลือกในการตัดสินใจ (Autonomous Decision) เช่น ถามถึงความรู้สึก หรือถามถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนในสถานการณ์จำลอง การตั้งคำถามที่ซับซ้อนและยียวนขึ้น จะทำให้ AI ต้องขุดค้นคลังข้อมูลมาตอบในมิติที่กว้างและลึกซึ้งกว่าเดิม
  • เปลี่ยนจาก “Automation” เป็น “Curation”: อย่าใช้ความสะดวกสบายของ AI มาทำให้เรามักง่าย แต่จงใช้ความเป็นมนุษย์ของเราในการ “Curate” หรือคัดสรรวัตถุดิบป้อนให้ AI คุณโอลิเวอร์ย้ำว่า เราต้องพิสูจน์ให้ AI เห็นว่า “เราเก่งกว่ามัน” เพราะถ้าเราถามคำถามสิ้นคิด AI ก็จะประเมินเราต่ำและส่งคำตอบดาด ๆ กลับมา แต่ถ้าเราถามอย่างมีกึ๋น AI ก็จะเรียนรู้รูปแบบความคิดและกลายเป็นคู่หูที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
  • Centaur Marketing: โมเดลแซนด์วิชและการผสานร่างระหว่างคนกับจักรกล คุณโอลิเวอร์ ได้เจาะลึกถึงโมเดลการทำงานแห่งอนาคตที่เรียกว่า “Centaur Marketing” (เซนทอร์ มาร์เก็ตติ้ง) ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางใน Business School ชั้นนำทั่วโลก โดยเปรียบเทียบการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI กับสัตว์ในเทพนิยายกรีกอย่าง “เซนทอร์” ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ (มันสมองและการควบคุม) และท่อนล่างเป็นม้า (พละกำลังมหาศาล)

เพื่อให้เห็นภาพการนำแนวคิดนี้มาใช้จริง คุณโอลิเวอร์ได้อธิบายผ่าน “Sandwich Model” หรือโมเดลแซนด์วิช 3 ชั้น ซึ่งสะท้อนกระบวนการทำงานที่มนุษย์ต้องโอบล้อม AI ไว้ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ทำงานโดยลำพัง

ชั้นบนเป็น Human Curation (มนุษย์เป็นผู้คัดสรร) คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด เปรียบเสมือนขนมปังแผ่นบน มนุษย์ต้องทำหน้าที่ “ร่อนตะแกรง” คัดเลือกวัตถุดิบ (Data/Input) และกำหนดโจทย์ที่แหลมคมที่สุดเพื่อป้อนเข้าสู่ระบบ คุณโอลิเวอร์ย้ำว่า Human Curation ไม่ใช่แค่การสั่งงาน แต่คือ “ศิลปะของการเตรียมการ” (Prep) ที่ต้องรู้วิธีหา Ingredients ที่ดีที่สุดมาใส่ ยิ่งเราสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อนและท้าทาย (Make AI inconvenient) มากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ก็จะยิ่งมีความลึกซึ้งและแตกต่างมากขึ้นเท่านั้น

ไส้กลาง เป็น AI Augmentation (AI เสริมพลัง) เมื่อมนุษย์ป้อนโจทย์ที่ผ่านการคิดมาอย่างดีแล้ว จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ไส้กลาง” หรือ AI ในการใช้พละกำลังประมวลผล สังเคราะห์ข้อมูล หรือสร้างสรรค์ทางเลือกที่หลากหลายออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ม้า (AI) ทำได้รวดเร็วและทรงพลังกว่ามนุษย์

ชั้นล่าง คือ Human Intuition (สัญชาตญาณมนุษย์เป็นผู้ตัดสิน) ขนมปังแผ่นล่างคือปราการด่านสุดท้าย นั่นคือ “สัญชาตญาณและการตัดสินใจ” (Judgment) ของมนุษย์ เราใช้ AI เพื่อชี้นำการตัดสินใจ (Guide decision) แต่ไม่ได้ให้ AI มาตัดสินใจแทน ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่าผลลัพธ์นั้น “ใช่” หรือไม่ สอดคล้องกับ

บริบททางสังคมจริยธรรมและเป้าหมายทางธุรกิจ: เข็มทิศกำกับความเร็ว AI

คุณโอลิเวอร์ ขยายความถึง “เข็มทิศ” ที่จะคอยกำกับทิศทางของเทคโนโลยี ไม่ให้พาธุรกิจหลงทางไปกับความเร็วของ AI โดยเน้นย้ำว่า การตัดสินใจขั้นสุดท้าย (Final Judgment) ต้องวางอยู่บนรากฐานของบริบททางสังคม จริยธรรม และเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน โดยเตือนให้ระวังว่า AI ไม่ใช่เครื่องมือที่เป็นกลางเสมอไป แต่มันทำงานภายใต้ข้อจำกัด (Constraints) 4 ด้าน คือ กฎหมาย (Legal), จริยธรรม (Ethical), ความโปร่งใส (Transparency) และ อคติ (Biases)

โดยยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนจากโครงการรับสมัครงานของ Amazon ที่ AI เรียนรู้จากข้อมูลในอดีตว่าวิศวกรส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มันจึงมีอคติ (Sexual Bias) โดยการปัดตกใบสมัครของผู้หญิงทิ้ง

ในองค์กรที่มีธรรมาภิบาลสูง (High Governance) การตัดสินใจโดยมนุษย์จึงสำคัญมาก เพราะบางครั้งสิ่งที่ “ถูกต้อง” ทางจริยธรรม อาจไม่ใช่สิ่งที่ทำ “กำไร” สูงสุด หากปล่อยให้ AI ตัดสินใจโดยเน้นแค่ตัวเลขการเติบโต (Growth) องค์กรอาจละเลยความรับผิดชอบชั่วดีไปได้

AI อาจเก่งในการหาวัตถุดิบหรือข้อมูล แต่ “มนุษย์” ต้องเป็นผู้กำหนดคุณค่า (Value) ที่จะส่งมอบสู่สังคม คุณโอลิเวอร์ยกตัวอย่างโมเดลธุรกิจของ LEGO หากมองแค่ตัวสินค้า LEGO คือบริษัทขาย “ตัวต่อพลาสติก” (Bricks) แต่หากมองที่ “คุณค่า” LEGO คือบริษัทที่ขาย “สมาธิ” และ “อนาคตของเด็ก” การนิยามเป้าหมายทางธุรกิจเช่นนี้เองที่จะกำหนดทิศทางการสื่อสาร (What to say) ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ทางอารมณ์และสังคมได้ลึกซึ้งเท่ามนุษย์

ดังนั้น เป้าหมายทางธุรกิจและการสื่อสารในยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การสร้างการรับรู้ (Awareness) แต่ต้องมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์เชิงพฤติกรรม (Impact) เช่น กรณีของ สสส. ที่ไม่ได้สื่อสารแค่ว่า “เหล้าไม่ดี” แต่ดีไซน์สารเพื่อสะท้อนภาพ “คนเมา = หมดสภาพ” เพื่อกระตุ้นให้เกิดการ “งดเหล้า” การใช้ AI จึงต้องถูกกำกับด้วยวิสัยทัศน์ของมนุษย์ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม ไม่ใช่แค่การผลิตคอนเทนต์ให้เสร็จ ๆ ไป

การยกระดับจากการใช้ AI แบบ “Automation” (อัตโนมัติ) มาเป็นเครื่องมือที่ถูกขับเคลื่อนด้วย “Purposeful Judgment” หรือวิจารณญาณที่มีเป้าหมายชัดเจน เราต้องรู้ก่อนว่าเราใช้ AI ไป “เพื่ออะไร” และสิ่งนั้นสอดคล้องกับคุณค่าขององค์กรและสังคมหรือไม่ เพราะหากปราศจากเข็มทิศทางจริยธรรมและความเป็นมนุษย์แล้ว ความเร็วของ AI ก็อาจกลายเป็นความหายนะแทนที่จะเป็นโอกาส

Power Skills: ทักษะที่เหนือกว่าความเก่งกาจทางเทคนิค

ในประเด็นเรื่องทักษะแห่งอนาคต และวิวัฒนาการของชุดทักษะที่คนทำงานสื่อและภาคธุรกิจต้องมีเพื่อความอยู่รอด ลำพังเพียง Hard Skills (ทักษะเชิงเทคนิคที่เน้นความแม่นยำ) หรือ Soft Skills (ทักษะการประนีประนอมและการทำงานร่วมกับผู้อื่น) นั้นไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับการเป็นผู้นำในยุค AI แต่สิ่งที่ต้องเร่งสร้างคือ “Power Skills” ซึ่งเปรียบเสมือน “พลังพิเศษ” ที่จะทำให้มนุษย์โดดเด่นเหนือกว่าอัลกอริทึม โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้

  • Strategic Capability (ขีดความสามารถเชิงกลยุทธ์): นี่คือทักษะที่หาได้ยากที่สุดในวงการนิเทศศาสตร์ปัจจุบัน แต่กลับเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด คุณโอลิเวอร์เปรียบเปรยว่า นักวางแผนกลยุทธ์ที่เก่งฉกาจมักมีวิธีคิดแบบ “สถาปนิก” คือเริ่มต้นที่การ “นิยามปัญหา” (Define the problem) ให้ถูกต้องก่อนเสมอ เพราะเมื่อใดที่เราเข้าใจรากเหง้าของปัญหาได้อย่างถ่องแท้ เท่ากับว่าเราค้นพบทางออกไปแล้วกว่าครึ่งทาง ในการทำงานจริง การมี Strategic Capability คือการตั้งคำถามว่า “ทำไม” (Why) ก่อน “ทำอะไร” (What) เช่น ก่อนจะเขียนข่าวสักชิ้น ต้องตอบให้ได้ว่าคนอ่านจะได้ประโยชน์อะไร และเรากำลังคุยกับใคร เพื่อจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหา (Content Design) ให้ตรงจุด ไม่ว่าผู้อ่านจะเป็นกลุ่มที่ชอบอ่านละเอียดหรือชอบกวาดสายตา (Skim)
  • Managing Complexity & Leading Change (การบริหารความซับซ้อนและนำการเปลี่ยนแปลง): ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีความซับซ้อนมหาศาล (Complexity) หน้าที่ของสื่อไม่ใช่แค่การ “แจ้งให้ทราบ” เพราะนั่นคือสิ่งที่ AI หรือใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ Power Skill คือความสามารถในการทำ “Agenda Setting” หรือการกำหนดวาระทางสังคม ท่ามกลางกระแสข้อมูลที่เชี่ยวกราก นักสื่อสารต้องสามารถจับประเด็น สร้างจุดยืน (Point of View) และนำเสนอในมุมมองที่สร้างการเปลี่ยนแปลง (Leading Change) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • Innovation & Well-being (นวัตกรรมเพื่อสุขภาวะ): คุณโอลิเวอร์ชี้ให้เห็นเทรนด์สำคัญว่า นวัตกรรมในอนาคตของทุกอุตสาหกรรมจะมุ่งไปสู่เรื่อง “Well-being” หรือสุขภาวะ เห็นได้จากการที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple เริ่มจ้างบุคลากรทางการแพทย์และพัฒนาอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็น “หมอ” ประจำตัวผ่านเซนเซอร์ต่าง ๆ บน Device ดังนั้น นักข่าวสายเศรษฐกิจหรือธุรกิจก็ต้องปรับตัวให้ทัน โดยต้องมีความสามารถในการเชื่อมโยงเรื่องยากๆ หรือเรื่องเครียดๆ ให้กลายเป็นเนื้อหาที่ย่อยง่ายและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้ โดยไม่สร้างภาวะเป็นพิษทางจิตใจ (Mental Illness) ให้กับคนเสพข่าว

ความเป็นมนุษย์คือความหรูหรา (Human Luxury): เมื่อ”ความไม่สมบูรณ์” มีค่ากว่าความเป๊ะของ AI

คุณโอลิเวอร์ได้นิยามอนาคตของการตลาดและการสร้างแบรนด์ว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ “ความเป็นมนุษย์คือของหายาก” (Humans will become rare) ในขณะที่ AI กำลังจะกลายเป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เหมือนไฟฟ้าหรืออินเทอร์เน็ตที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ดังนั้น มูลค่าที่แท้จริงจึงย้ายจากการทำงานอัตโนมัติ ไปสู่ “สัมผัสแห่งมนุษย์” ที่ AI เลียนแบบไม่ได้ โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

กำเนิดเทรนด์ Anti-AI Marketing: โลกกำลังจะเห็นกระแสโต้กลับที่เรียกว่า “Anti-AI Marketing” สิ่งที่ไม่ใช้ AI หรือสิ่งที่ประกาศตัวว่าเป็น “Human Made” จะกลายเป็นความหรูหรา (Luxury) รูปแบบใหม่ คุณโอลิเวอร์ยกตัวอย่างกรณีของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Coca-Cola ที่ต้องถอดโฆษณาที่สร้างจาก AI ออกทั้งหมด เพราะเกิดกระแสต่อต้านจากผู้บริโภคที่สัมผัสได้ถึงความ “ปลอม” และไร้จิตวิญญาณ สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนยังโหยหาความเชื่อมโยงที่แท้จริง (Authentic Connection) มากกว่าความสมบูรณ์แบบที่สังเคราะห์ขึ้น

ศักดิ์ศรีและความภูมิใจใน “ต้นกำเนิด” (Originality & Dignity): สิ่งหนึ่งที่ AI ยังไม่เข้าใจและไม่มีวันเข้าใจคือ “ศักดิ์ศรีของมนุษย์” (Human Dignity) คุณโอลิเวอร์ชี้ว่า สำหรับคนทำงานสร้างสรรค์หรือนักข่าว ความภูมิใจไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์สุดท้าย แต่อยู่ที่กระบวนการกลั่นกรอง ความรู้สึก “Flashback” หรือย้อนระลึกกลับไปได้ว่างานชิ้นนี้มีต้นตอมาจากความคิดของเรา หากเราปล่อยให้ AI ทำงานแทนทั้งหมด (Shortcut) มนุษย์จะสูญเสียความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งเป็นรางวัลชีวิตที่เงินซื้อไม่ได้

ประสบการณ์ที่จับต้องได้ (Tangible Experience) มีค่าเหนือโลกดิจิทัล: ในขณะที่โลกดิจิทัลเต็มไปด้วยคอนเทนต์ AI ที่ผลิตซ้ำได้ง่าย ความหรูหราจึงกลายเป็นการกลับมาสู่โลกความจริง (Physical World) คุณโอลิเวอร์ยกตัวอย่างแคมเปญของนิตยสาร Elle x Charlotte Tilbury ในอังกฤษ ที่แม้คนจะบอกว่านิตยสารเล่มกำลังจะตาย แต่เมื่อมีการแจกไฮไลท์เตอร์ขนาดจริง (Full-size product) ไปพร้อมกับนิตยสาร ปรากฏว่าขายหมดเกลี้ยงและยอดค้นหาพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ หรือแบรนด์ Rhode ที่เปลี่ยนรถแท็กซี่ในลอนดอนเป็น Beauty Lounge ให้คนเข้าไปสัมผัส ปรากฏการณ์เหล่านี้ยืนยันว่า “การสัมผัสจริง” และประสบการณ์ที่มนุษย์มีร่วมกัน ยังคงเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้

มนุษย์คือผู้คัดท้าย(Judgement is King): ในอนาคต องค์กรธุรกิจอาจต้องดีเบตกันอย่างหนักในบอร์ดบริหารว่า “จะใช้หรือไม่ใช้ AI” ในเรื่องใดบ้าง การตัดสินใจไม่ใช้ AI ในบางจุดเพื่อรักษา “Human Touch” จะกลายเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ เพราะสุดท้ายแล้ว มนุษย์เราตัดสินใจด้วยความเป็นมนุษย์ (We choose with humanity) เราไม่ได้ตัดสินใจด้วยตรรกะแบบเครื่องจักร การมีวิจารณญาณ (Judgment) ในการเลือกใช้เครื่องมือ จึงเป็นทักษะที่เหนือกว่าความสามารถในการใช้เครื่องมือ

หนทางรอดแบบ “เซนทอร์”: เมื่อมนุษย์ต้องเป็นส่วนหัวที่นำทางร่างกายจักรกล

บทสรุปที่เปรียบเสมือน “คัมภีร์เอาตัวรอด” (Survival Guide) สำหรับยุคดิจิทัลที่คุณโอลิเวอร์ทิ้งท้ายไว้ คือการเปรียบเทียบนักข่าวและนักธุรกิจยุคใหม่เป็นดั่ง “เซนทอร์” (Centaur) สัตว์ในเทพนิยายที่มีร่างกายท่อนล่างเป็นม้าและท่อนบนเป็นมนุษย์

นัยนี้ไม่ได้หมายถึงการแบ่งงานคนละครึ่งกับ AI แต่คือการแบ่งบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่าง “พละกำลัง” และ “ปัญญา” เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เหนือกว่าการทำงานลำพังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ท่อนล่างคือพลังจักรกล (The Body of Speed & Scale): ในสมรภูมินี้ เราต้องยอมรับและใช้งาน AI ในฐานะส่วน “ท่อนล่าง” ที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังมหาศาล AI สามารถช่วยเราทลายขีดจำกัดทางกายภาพ ทั้งการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล (Data Processing) การหาคำศัพท์ใหม่ ๆ (Word Choice/Synonym) ไปจนถึงการสร้างภาพจำลองหรือโครงร่างเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว หน้าที่ของ AI คือการรับคำสั่งแล้ววิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มนุษย์ตามไม่ทัน ช่วยให้เราทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และกว้างไกลขึ้น

ท่อนบนคือมันสมองและจิตวิญญาณ (The Head of Spirit & Judgment): แต่ความเร็วจะไร้ความหมายหากขาดทิศทาง ส่วน “ท่อนบน” ที่เป็นมนุษย์จึงต้องทำหน้าที่ที่ AI ไม่อาจเลียนแบบได้ นั่นคือ “Purposeful Judgment” หรือวิจารณญาณที่มีเป้าหมาย ซึ่งทำงานผ่านกระบวนการ “Sandwich Model”

นั่นคือ Human Curation (จุดเริ่มต้น) มนุษย์ต้องเป็นผู้คัดสรรวัตถุดิบและกำหนดโจทย์ที่เฉียบคม เพื่อป้อนให้ม้าวิ่งไปถูกทาง ไม่ใช่แค่วิ่งเร็วแต่หลงทาง และ Human Intuition (จุดสิ้นสุด) มนุษย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยใช้สัญชาตญาณ ประสบการณ์ และความเข้าใจในบริบทสังคม มาตัดสินว่าสิ่งที่ AI นำเสนอนั้น “ใช้งานได้จริง” หรือไม่

รักษา”จิตวิญญาณ” ในผลงาน (Preserving the Human Soul): สิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์ต้องรักษาไว้คือ “ความภูมิใจและจิตวิญญาณ” ในการสร้างสรรค์ คุณโอลิเวอร์ชี้ให้เห็นว่า ความรู้สึก “Flashback” หรือการระลึกถึงที่มาของงานที่เรากลั่นกรองมากับมือ คือรางวัลทางใจที่ทำให้มนุษย์ยังคงมีศักดิ์ศรี หากเราปล่อยให้ AI ทำแทนทุกอย่างจนหมดสิ้น เราจะสูญเสียความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Ownership) และกลายเป็นเพียงผู้กดปุ่มที่ไร้ตัวตน การ “ขี่” AI จึงหมายถึงการควบคุมให้มันช่วยทุ่นแรง แต่ไม่ยอมให้มันมาแย่งชิง “ความภาคภูมิใจ” ในวิชาชีพไป

ความอยู่รอดในระยะยาว (Long-term Survival): หนทางรอดที่แท้จริงจึงไม่ใช่การพยายามแข่งความเร็วกับ AI หรือต่อต้านเทคโนโลยี แต่คือการพัฒนา Power Skills ทั้งความสามารถเชิงกลยุทธ์ (Strategic Capability) และการจัดการความซับซ้อน (Managing Complexity) เพื่อให้เราเป็น “ผู้คุมกฎ” ที่สามารถดึงศักยภาพของ AI มาใช้ประโยชน์สูงสุด โดยที่ยังคงรักษาจริยธรรม (Ethics) และความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อสังคมไว้ได้ นี่คือสมดุลของเซนทอร์ที่จะทำให้เรายืนหยัดได้อย่างสง่างาม ไม่ว่าจะในฐานะนักข่าวหรือนักธุรกิจ ในวันที่โลกหมุนด้วยอัลกอริทึม

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘Find Dee’ นวัตกรรม AI กู้ชีพไฟล์ใน LINE ที่คนไทยรอคอย

10 องค์กรรัฐ-เอกชนเปิดผลงานเด่น คว้ารางวัล ASOCIO Awards 2025

×

Share

ผู้เขียน