Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

‘เศรษฐกิจ-การเมืองไทย’ ไร้แสงสว่างปลายอุโมงค์

'เศรษฐกิจ-การเมืองไทย' ไร้แสงสว่างปลายอุโมงค์


เมื่อวันที่ วันที่ 2 ก.ค.2568 (ตามเวลาสหรัฐ) ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า เวียดนามจะถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐและ 40% สำหรับสินค้าประเทศอื่นที่ถือว่าส่งออกผ่านประเทศเวียดนาม(ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจีน) ขณะเดียวกันเวียดนามจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าของสินค้าสหรัฐทั้งหมด

สำหรับทีมไทยแลนด์ที่มี พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังเป็นหัวหน้าคณะเจรจา เพิ่งจะเริ่มต้นเจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) อย่างเป็นทางการในคืน 3 กรกฎาคม 2568(ตามเวลาประเทศไทย) โดยเป็นการพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรก หลังจากการประชุมส่วนใหญ่เป็นรูปแบบออนไลน์

การที่สหรัฐได้ข้อสรุปกับเวียดนามก่อน เพราะทั้งสองประเทศเจรจากันก่อนไทยในหลายครั้ง และมีการเปิดเผยกรอบตัวเลขออกมาก่อนหน้านี้ ส่วนไทยก็คงต้องลุ้นว่าผลออกมาอย่างไร อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเท่ากับเวียดนาม

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจากผลกระทบการเจรจาภาษีของสหรัฐขยายตัว 1.5-2.0% ดังนี้

  1. กรณี Low tariffs เจรจาภาษีลุล่วง โดยมีการเก็บ Universal tariff อัตรา 10% จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.0%
  2. กรณี เจรจาลดภาษีได้บ้าง Universal tariff , Reciprocal tariff ครึ่งหนึ่งจากอัตราที่ประกาศหรือที่อัตรา 18% และลด Specific tariff จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 1.5% เท่านั้น

เท่าที่ดูแนวโน้มผลการเจรจาระหว่างสหรัฐกับเวียดนามที่ออกมา อัตราภาษีที่ไทยจะได้รับก็ไม่น่าจะเป็นไปตาม กกร.คาดการณ์ อย่างดีที่สุดคือ เท่ากับเวียดนามคือ 20% สำหรับสินค้าทั่วไป แต่มีสื่อบางสำนัก รายงานว่าไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีในอัตราเดิมที่ประกาศ คือ 36%

หากเป็นจริง ต้นทุนสินค้าของไทยจะแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลกลำบากมาก โดยเฉพาะเวียดนาม เนื่องจากโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทยกับเวียดนามคล้ายๆกัน แต่เวียดนามได้เปรียบที่ต้นทุนถูกกว่าไทย กำไรต่อหน่วยสูงกว่าแม้แต่เสียภาษีอัตราเท่ากันไทยก็แข่งลำบากอยู่แล้ว

ยิ่งไทยเสียภาษีสูงกว่า หากเวียดนามยอมลดกำไรลงเพื่อแข่งสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐ ไทยได้รับผลกระทบแน่ๆและ จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานตามมาอีกด้วย

ล่าสุดธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของ GDP ของไทยในปี 2568 จะชะลอลงมาอยู่ที่ 1.8% มีสมมุติฐานว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีไทยในระดับมากกว่า 10% แต่ไม่ถึง 18% ดังนั้น หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีเกิน 18% ตามที่มีการคาดการณ์ ย่อมส่งผลให้การเติบของ GDP ในปี 68 ต่ำกว่า 1.8% แน่ ๆ

ทั้งนี้ ยังไม่รวมปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ที่กำลังปั่นป่วนวุ่นวายยังไม่รู้จะจบอย่างไร ครม.ใหม่ก็เพิ่งเริ่มทำงาน หลังจากได้เข้าถวายสัตย์ปฎิญาณเมื่อวันที่ 3 ที่ผ่านมา ครม. ใหม่ชุดนี้ต้องเรียกว่าเป็นครม. ไม่สมประกอบ ที่ไม่มีนายกฯตัวจริง มีแต่ ‘นายกฯรักษาการ’ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ แพทองธาร ชินวัตร สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯได้เหมือนเดิม หรือสั่งให้พ้นจากตำแหน่งก็ต้องหาคนใหม่มาแทน อาจจะรอถึงเดือนสิงหาคม

ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ยังไม่มีรัฐมนตรีว่าการตัวจริง ตอนนี้มี พลเอก.ณัฐพล นาควานิช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการทำงานแทนไปพลาง ๆ ก่อน เป็นเรื่องที่แปลกมากทำไม ไม่ตั้งพลเอกณัฐพล ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการเพื่อทำงานทันที ทั้ง ๆ ที่ในยามนี้ ประเทศอยู่ในห้วงเวลาที่มีปัญหาเรื่องความมั่นคง ตามแนวชายแดน เฉพาะกับชายแดนไทย กัมพูชา รวมถึงปัญหาชายแดนภาคใต้ที่ยังรุนแรง ถือว่ามีความสำคัญมาก แต่กลับปล่อยว่างไว้ เพื่ออะไร

นั่นแปลว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยจะไร้ผู้นำอย่างเป็นทางการ เดือนกว่า ๆ เกือบจะเรียกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงสูญญากาศ บางครั้งคนที่อยู่เบื้องหลังการจัดโผ ครม. ก็เล่นเกมการเมืองจนไม่เห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมือง

อย่างไรก็ตามแม้ว่า ครม. จะเดินหน้าแต่ก็เป็น ครม. ‘รัฐบาลเป็ดง่อย’ ไม่สามารถใช้อำนาจในการบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากกรณีนายกรัฐมนตรีถูกสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงการไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในเรื่องความสามารถของผู้นำ ขณะที่ในสภาผู้แทนราษฏร การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยก็ทำให้เสียงสนับนุนรัฐบาลปริ่มน้ำ มีความเสี่ยงอย่างมากหากจะขอเสียงสนับสนุนในสภาฯ แค่การประชุมสภาฯนัดแรก ก็วุ่นวายจนต้องมีการนับองค์ประชุม

หากสภาพรัฐบาลเป็ดง่อย จะไม่กล้าออกนโยบายสำคัญ ๆ เช่น การอนุมัติงบประมาณ การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง หรือการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศ ขณะที่บรรดาข้าราชการในตอนนี้อยู่ในสภาพ ‘เกียร์ว่าง’ ดูทิศทางลมการเมืองว่าจะไปทางไหน

เครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงักลงพร้อม ๆ กัน ภาครัฐไม่มีการลงทุน นักลงทุนเอกชนก็ไม่กล้าลงทุน ตอนนี้ภาคธุรกิจใหญ่ ๆ ไม่มีใครลงทุนเพิ่ม จะเก็บเงินสดไว้หรือเอาไปใช้หนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ทำให้ตัวเบาแทน ต้องรอจนกว่าการเมืองนิ่ง ประชาชนในฐานะผู้บริโภค ก็ไม่มั่นใจอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีการจับจ่ายใช้สอยธุรกิจจำนวนไม่น้อยทะยอยปิดตัวเป็นรายวัน นักลงทุนต่างชาติยิ่งไม่มั่นใจหันไปลงทุนในประเทศที่มีความมั่นคง มีความเชื่อมั่น ไม่มีความเสี่ยงแทน

น่าห่วงอย่างมาก หากการเมืองไทยยังไม่มีทางออกจะมีแต่ความเสียหายตามมา ขณะที่ยังมีเรื่องสำคัญรออยู่ คือ พรบ.งบประมาณ ที่จะต้องเข้าสภาฯ หากรัฐบาลไม่มั่นคง เสียงสนับสนุนปริ่มน้ำมีโอกาสที่งบประมาณไม่ผ่านสภาฯ รัฐบาลต้องลาออก หรือต้องยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ยิ่งยืดเวลาออกไปอีกหลายเดือนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ ที่เลื่อนการพิจารณางบฯ ทำให้ทุกอย่างชะงักจนสร้างความเสียหายตามมา

วิกฤติเศรษฐกิจ การเมือง ที่กวักมือรออยู่ข้างหน้า ล้วนใหญ่หลวงเกินกว่าลำพัง รัฐบาลชุดนี้จะรับมือไหว จะไม่รู้ว่าจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ กี่โมง

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

‘Entertainment Complex’ เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่…หรือฮับสีเทา

วิกฤติภาษีสหรัฐฯ 9 ก.ค. ชี้ชะตาส่งออก-เศรษฐกิจไทย

×

Share