Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

บทเรียนจากวิกฤติ: ‘Job Security’ ภัยคุกคามที่ไม่เคยเปลี่ยน

บทเรียนจากวิกฤติ: 'Job Security' ภัยคุกคามที่ไม่เคยเปลี่ยน

เมื่อ 2-3 วันก่อน ได้ฟังคลิปของคนทำงานคนหนึ่ง (Ploy Chanikarn) ที่เกิดภาวะความไม่มั่นคงในงาน หรือ Job Security จะเรียกว่าการตกงานก็ได้ ทำให้นึกเปรียบเทียบเหตุการณ์สมัยเมื่อปี 40 ที่เกิดภาวะต้มยำกุ้ง

ภาพในยุคนั้น เหมือนกับความรู้สึกของเทวดาตกสวรรค์ ที่จู่ ๆ เกิดการตกงานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน ถ้าเป็นคำพูดสมัยนี้ ก็จะบอกว่าเราไม่มีแผนรับมือเลย เราไม่มีทั้งเงินสำรอง ไม่ได้มีงานสำรอง มีแต่รายได้ทางเดียว และเมื่อขาดรายได้หลักไป เงินชดเชยสมัยก่อนยังไม่มีเป็นเรื่องเป็นราว การตกงานในยุคนั้น จึงเป็นโศกนาฏกรรมที่ผู้คนในยุคนั้นรู้รสชาติเป็นอย่างดี

เราต้องย้ายลูกจากโรงเรียนเอกชนดัง ๆ ไปหาโรงเรียนใหม่แบบไม่เต็มใจ!

เรามีการเปิดท้ายขายของ เอาของที่สะสมไว้ออกมาจำหน่าย

เรามีพ่อค้า-แม่ค้าหน้าใหม่เกิดขึ้น มีหม้อข้าว-หม้อแกง แบบเพิ่งถอยออกมาวางขาย จนวันนี้มีอีกหลายคนที่ยังยึดอาชีพการเป็นพ่อค้า-แม่ค้าอยู่ ฯลฯ

แต่เชื่อไหม เวลาผ่านมาจนเกือบจะ 30 ปีอยู่รอมร่อ เรากลับพบปัญหาเดิม ๆ ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

วันนี้…เรามีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นจนติดอันดับประเทศที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือน เรายังมีปัญหาที่มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ และเมื่อรายได้มีน้อย เราจึงมีปัญหาหนี้ที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น จนแทบจะหมดสภาพ ยิ่งระบบธุรกิจที่เปิดโอกาสให้ผ่อนชำระได้ จากเดิมแค่ผ่อนรถผ่อนบ้าน วันนี้ผ่อนไปได้หมด ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ ยันท่องเที่ยวต่างประเทศ ไปจนถึงค่าเล่าเรียน เราจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการออมเลย

มีผู้ใหญ่ผู้อาวุโสบอกว่า คนจะรวยได้ มีด้วยกัน 2 วิธี วิธีแรก คือ การสร้างรายได้ ซึ่งเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่มักใช้กัน คือหาให้มาก (ส่วนเรื่องการใช้จ่าย หาได้มากใช้มากก็ไม่น่ากังวล) อีกวิธีหนึ่งก็คือ ลดความต้องการลง ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ผู้รู้มักบอกเราว่าการเปรียบเทียบหรือพยายามทำให้ตัวเองเหมือนกับคนอื่น เป็นการทำให้ชีวิตลำบาก คือการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องขับรถยุโรป ไม่ต้องใส่นาฬิกาสวิสราคาแพง ไม่ต้องใช้ของแบรนด์เนม

การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สามารถสร้างภาพให้สังคมหรือคนรอบข้างยอมรับได้ ไม่จำเป็นต้องเที่ยวเมืองนอก เพื่อถ่ายรูปมาลงในสื่อสังคม มนุษย์ต้องการให้มีการยอมรับว่ามีตัวตนเป็น somebody แต่ก็ไม่พยายามมากเกินไป จนเกินความพอดี

กุญแจ 3 ดอก สู่สิ่งที่ปรารถนา

การที่แต่ละบุคคลจะค้นพบความสำเร็จของแต่ละคนได้ ขึ้นอยู่กับกุญแจ 3 ดอก ที่จะพาเราไปสู่สิ่งที่ปรารถนาได้

ดอกแรก คือ ต้องมีเป้าหมาย ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก และต้องมีระยะเวลาด้วยว่า เป้าหมายที่ว่านี้จะสำเร็จลุล่วงในเวลาใด การมีเป้าหมายจะทำให้มีทิศทางและกำหนดวิธีการได้

กุญแจดอกที่สอง คือ การมีความเชื่อมั่นว่าตนเอง “ทำได้” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะความเชื่อมั่นจะทำให้เรามีกำลังใจ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือระยะเวลาเนิ่นนานแค่ไหน การมีความเชื่อมั่นคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงว่า “เราทำได้”

และกุญแจดอกสุดท้าย คือ ต้องมีวินัยที่เดินให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไร

จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ความคิดที่เกี่ยวกับการวางแผนการเงินที่สำคัญ คือ การต้องมีเงินสำรอง ต้องมีเงินเพื่อการลงทุน ที่ไม่หวังจากการมีรายได้ทางเดียว จึงเกิดขึ้นแบบมีนัยสำคัญ

ปัญหาของเราคือเราไม่มีเงินออมที่แท้จริง การออมเป็นการจ่ายเงินให้ตัวเองในอนาคต ยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โอกาสที่เราจะ “ตกงาน” หรือถูก “เลิกจ้าง” หรือแม้แต่ “ถูกลดเงินเดือนหรือยกเลิกรายได้พิเศษอื่น ๆ” เกิดขึ้นได้เสมอ การมีเงินสำรอง จะช่วยให้เราสามารถต่อสู้หรือยืนหยัดกับสถานการณ์ที่เราไม่อาจคาดเดาได้ล่วงหน้าได้ แต่การมีเงินสำรองนั้น “เราทำได้”

ประการสำคัญ เงินสำรอง จะถูกคำนวณจากจำนวนค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ส่วนจะสำรองไว้กี่เดือนขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ในช่วงนั้น ๆ ถ้าประเมินสถานการณ์ปกติก็น่าจะอยู่ที่ 3-5 เดือน ข้อสำคัญ เงินสำรองจะต้องไม่ถูกเอาไปลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income เพราะหากมีสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดในชีวิตของเราหรือคนใกล้ชิด การจะนำเงินฉุกเฉินเอามาแก้ปัญหาไม่ได้เลย และอาจจะเสียโอกาสไปด้วย

วินัยกับเป้าหมาย เมื่อคุณมีเป้าหมาย อย่าลืมเพื่อนแท้ของคุณไปด้วย เขาชื่อวินัยครับ หลายครั้งและหลายคนรวมทั้งตัวผม เคยพยายามจะทำสิ่งนี้ แต่…ไม่สำเร็จ วันนี้เราก็หวังว่า คนรุ่นใหม่จะทำสำเร็จ!! วางเป้าหมายสร้างเงินออมในกระเป๋าของตัวเอง เพื่อมีเงินสำรองและมีเงินสำหรับการลงทุน ศึกษาเรื่องการลงทุน โดยที่ไม่ต้องใส่ใจเงินในกระเป๋าคนอื่น

Passive Income โดยกองทุน ไม่ได้รวยแต่มั่นคง มีคนเคยบอกว่า ถ้าอยากรวยต้องเล่นหุ้น! แต่เขาไม่ได้บอกในวรรคสุดท้ายหรือครับว่า… ยิ่งได้มากก็ยิ่งเสี่ยงมากได้เช่นกัน

ก่อนจะจบอยากฝากข้อคิดของ Krasuang Jarusira ครีเอเตอร์ดิจิทัลได้บอกไว้ว่า

“อย่าเสียเวลานับเงินคนอื่น ควรจะสนใจว่าจะทำอย่างไร ให้เงินของเราโตขึ้นดีกว่า”

อยากบอกคนที่เริ่มทำงานว่า “ทำในสิ่งที่รัก แต่ถ้าไม่ได้ ก็รักในสิ่งที่ทำก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน” และคำพูดที่อยากสรุปในตอนท้ายนี้ว่า

“คนไม่ควรดูหมิ่นเวลา”

(ชาติ กอบจิตติ)

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘First Jobber’ เริ่มต้นอย่างไร? สร้างภูมิคุ้มกันการเงิน ก่อนติดกับดักหนี้

ความจริงของ Passive Income: ทำไมถึงเป็นเรื่องยากในยุคหนี้ครัวเรือนท่วม

บทเรียนจากคนรุ่นใหญ่ถึงคนรุ่นใหม่: วิกฤติ Early Retire 45 ปี

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน