Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

เตรียมตัวสู่การเป็น ‘ทศวรรษที่สูญหาย’

เตรียมตัวสู่การเป็น 'ทศวรรษที่สูญหาย'

วันนี้ไปไหนมาไหนจะได้ยินว่าไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ “ทศวรรษที่สูญหาย” (Lost Decade) ยิ่งไปกว่านั้น บางคนบอกว่า “เรามาถึงยุคนี้แล้ว!!”

Lost Decade เป็นคำที่ใช้เรียกช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์เป็นเวลานาน ส่วนสาเหตุนั้นก็มาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ การเมืองไม่มั่นคง และมีปัญหาเชิงโครงสร้าง (ตอนนี้ประเทศไทยเรามีครบหมด)

เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่ำกว่า 2% (หรือใกล้เคียง) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นระดับที่น่าเป็นห่วง ในขณะที่ประเทศรอบบ้าน มาดู GDP ของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

  • เวียดนาม: มีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยในปี 2567 ขยายตัว 6.4% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.6% ในปี 2568
  • ฟิลิปปินส์: มีการเติบโต 6.0% ในปี 2567 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.2% ในปี 2568
  • กัมพูชา: มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง 6.0% ทั้งในปี 2567 และ 2568
  • มาเลเซีย: ขยายตัว 5.0% ในปี 2567 และคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเป็น 4.6% ในปีหน้า
  • สปป.ลาว: โต 4.5% ในปี 2567 และคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเป็น 4.3%
  • เมียนมา: มีการเติบโตต่ำที่สุดในกลุ่มที่ 2.3% ในปี 2567 และคาดว่าจะลดลงเหลือ 2.2% ในปี 2568 

GDP ของไทยจึงตกต่ำและลดลงต่อเนื่อง : ไทยมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ในขณะที่มีความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าโลก ในขณะที่ภาคเอกชนการลงทุนค่อนข้างหดตัว การเติบโตของ GDP ไทยที่เคยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ล่าสุดเริ่มจะไม่สดใสแล้ว เมื่อประเทศเพื่อนบ้านกลับมาเติบโต ขณะที่ภาคเอกชนหยุดหรือเคลื่อนไหว ‘ช้าลง’

สิ่งที่เป็นห่วงหรือกังวลมากกว่า คือเรากำลังก้าวไปสู่การเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” หรือไม่ เพราะเริ่มจะมีปัจจัยที่ชี้ว่า “เรากำลังจะก้าวไปสู่จุดนั้น” เมื่อหันมาดูการเมืองไม่มั่นคง กว่าสิบปีที่เราวุ่นวายสับสนกับความขัดแย้ง จนเกิดสิ่งที่ ดร.สุวิทย์ เมษิณทรีย์ อดีตรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ผสมผสานแนวคิดหลากหลายทั้งเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม มองว่าที่น่าห่วงสุด ๆก็คือการที่ประชาชนเกิด“ความไม่ไว้วางใจอย่างรุนแรง”  ที่เกิดขึ้นต่อรัฐบาลและระบบรัฐโดยรวม ทำให้สัญญาณของ “รัฐที่ล้มเหลว” เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นอย่างมีนัยยะ

ดร.สุวิทย์ มองว่าการจะเป็น “รัฐที่ล้ำหน้า” (Forefront State) ไม่ได้เป็น “รัฐที่ล้มเหลว” (Failed State) ไม่ใช่ขนาดเศรษฐกิจหรือทรัพยากรที่ถือครอง แต่คือ “รัฐที่น่าเชื่อถือ” (Credible Government) เป็นรัฐที่มีความชอบธรรมจากประชาชน (Legitimacy) มีธรรมาภิบาล (Integrity) และมีสมรรถนะ (Capability) ในการขับเคลื่อนประเทศ จะสามารถเป็นหลักยึดของสังคมและนำพาประเทศฝ่าวิกฤตbไปได้

การที่ประเทศไทยอยู่ในสภาพที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นรัฐที่ล้มเหลว ก็ไม่แตกต่างกับคนในประเทศที่อยู่ในสภาพใกล้ล้มละลายกันอยู่ไม่น้อย

ถ้าดูสาเหตุก็ไม่น่าต่างกันมาก หนึ่งหารายได้ได้น้อย มีรายจ่ายสูง โดยเฉพาะรายจ่ายที่มองแล้วหนักไปทางเพื่อความสุขมากกว่าเพื่อความอยู่รอด คนกับประเทศไม่ต่างกันเรื่อง “หนี้”

ถึงเวลาหรือยังที่ต้องกลับมาทบทวน หาวิธีเพิ่มเงินสำรอง และกลับมาเข้มงวดเรื่องการใช้จ่าย สองเรื่องนี้ทำอย่างจะได้อีกอย่างไปด้วย กับสถานการณ์วันนี้และพรุ่งนี้..ที่ไม่สดใส(อีกต่อไป) แต่จะทำได้อย่างไร เมื่อ สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ผู้คลุกคลีชำนาญเรื่องหนี้คนไทย มองว่า “เงินเดือนไว้ใช้หนี้ โอทีไว้กินใช้ แต่เศรษฐกิจแบบนี้ ไม่รู้จะหารายได้กับโอทีจากไหน”

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

คนไทยวันนี้ เฉกเช่นไก่ในเข่ง!!

เงินออม (ของเรา) หายไปไหน?

นิสัยที่สร้างได้ยากที่สุดของผู้คนวันนี้

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน