Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

กฎหมายพันธุ์พืช ช่องโหว่ ‘อนุพันธ์’ ฉุดรั้งศักยภาพข้าวไทย

0

กฎหมายพันธุ์พืชช่องโหว่ ‘อนุพันธ์’ ฉุดรั้งศักยภาพข้าวไทย

กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชของไทยในปัจจุบัน ยังมีช่องว่างสำคัญประการหนึ่ง คือการที่ข้อกำหนดไม่ครอบคลุมถึง “พันธุ์พืชอนุพันธ์” (Essentially Derived Varieties หรือ EDV) ประเด็นดังกล่าวนี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในเวทีวิชาการ “Breeding Beyond Boundaries” ซึ่งว่าด้วยการปรับปรุงพันธุ์พืชข้ามขีดจำกัด

ในเวทีดังกล่าว ศาสตราจารย์ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไทย ได้อธิบายว่า ข้อจำกัดทางกฎหมายนี้กำลังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทย แม้ว่าบุคลากรนักวิจัยของไทยจะมีศักยภาพสูง แต่กลับไม่สามารถขับเคลื่อนงานวิจัยได้อย่างเต็มที่เนื่องด้วยข้อจำกัดนี้ สถานการณ์ดังกล่าวจึงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ประเทศจะสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางพันธุกรรมในอนาคตได้

ช่องโหว่พันธุ์พืชอนุพันธ์และผลกระทบต่อข้าวไทย

ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ ได้อธิบายถึงช่องว่างทางกฎหมายที่น่ากังวล ซึ่งเกิดจากการที่กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชของไทยในปัจจุบัน ยังไม่ครอบคลุมถึงเทคโนโลยีใหม่อย่างการปรับแต่งจีโนม (Gene Editing) เมื่อประกอบกับช่องโหว่ในประเด็นเรื่อง “พันธุ์พืชอนุพันธ์” (Essentially Derived Varieties หรือ EDV) จึงนำไปสู่สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง

ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า ตามหลักการสากล หากมีการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่โดยการต่อยอดเพียงเล็กน้อยจากพันธุ์ดั้งเดิม (ซึ่งเรียกว่าอนุพันธ์) เจ้าของพันธุ์ดั้งเดิมควรมีสิทธิ์ในพันธุ์ใหม่นั้นโดยอัตโนมัติ

ทว่า กฎหมายไทยในปัจจุบันเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ตาม สามารถนำพันธุ์ข้าวที่จดทะเบียนแล้ว (เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่) มาปรับปรุงพันธุ์เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะด้วยวิธี Gene Editing หรือการผสมกลับ (Backcross) เพื่อให้ได้ลักษณะใหม่เพียง 1-2 อย่าง จากนั้น พวกเขาสามารถนำพันธุ์ที่ดัดแปลงเล็กน้อยนั้นไปจดทะเบียนเป็นพันธุ์ใหม่ได้ทันที (เช่น ไรซ์เบอร์รี่ 2 หรือ ไรซ์เบอร์รี่ 3) โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต หรือแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่เจ้าของพันธุ์ดั้งเดิมแต่อย่างใด

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่นี้ คือกรณี “CNS 105” ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ ยกตัวอย่างว่า สิงคโปร์ซึ่งมีงบประมาณสนับสนุนการวิจัยสูง ได้นำข้าว (ซึ่งคาดว่ามีพื้นฐานทางพันธุกรรมมาจากข้าวหอมมะลิ 105 ของไทย) ไปพัฒนาต่อยอด ปัจจุบัน ข้าว CNS 105 นี้กำลังถูกนำไปส่งเสริมการปลูกในประเทศอินโดนีเซีย

ที่สำคัญคือ หากสิงคโปร์ในฐานะสมาชิกของ UPOV 91 (ความตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่) นำพันธุ์ดังกล่าวไปจดทะเบียนภายใต้กฎหมายของตน พันธุ์ข้าวที่ถูกดัดแปลงเพียงเล็กน้อยนี้จะได้รับความคุ้มครองทันที ในขณะที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าของสายพันธุ์ดั้งเดิม (ข้าวหอมมะลิ 105) กลับไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการต่อยอดทรัพยากรพันธุกรรมดังกล่าวเลย

ข้อจำกัดทางกฎหมายภายในประเทศ: อุปสรรคที่นักวิจัยต้องเผชิญ

ศาสตราจารย์ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไทย
ศาสตราจารย์ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไทย

ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ ยังชี้ให้เห็นว่า นอกเหนือจากความท้าทายในการแข่งขันระดับโลกแล้ว นักปรับปรุงพันธุ์พืชในไทยยังต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญจากกฎหมายภายในประเทศอย่างน้อย 3 ฉบับ ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดในการทำงานวิจัย

1. พระราชบัญญัติกักกันพืช: อุปสรรคด้านเวลาและขั้นตอนปฏิบัติ

แม้ว่าเจตนารมณ์หลักของกฎหมายฉบับนี้ คือการป้องกันเชื้อโรคหรือศัตรูพืชจากต่างประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ กระบวนการดังกล่าวกลับสร้างความล่าช้าอย่างมหาศาล ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ ได้ยกตัวอย่างโครงการวิจัยที่พยายามนำเข้าสายพันธุ์ข้าวทนยาฆ่าหญ้าจากต่างประเทศ เพื่อมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทย

กระบวนการนำเข้าดังกล่าว ต้องใช้เวลาในการดำเนินการและแก้ไขเอกสารนานถึง 3 ปี จนกระทั่งงบประมาณโครงการหมดลง โดยปัญหาหลักเกิดจากการติดขัดด้านเอกสารที่ด่านศุลกากร และความยากลำบากในการประสานงานแก้ไขข้อผิดพลาดผ่านระบบออนไลน์ ความล่าช้านี้ทำให้นักวิจัยต้องสูญเสียทั้งงบประมาณและโอกาสในการพัฒนา แม้ว่าข้าวจะเป็นพืชที่ถูกควบคุมการนำเข้าส่งออกอย่างเข้มงวดอยู่แล้วก็ตาม

2. พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช: ข้อจำกัดด้านเวลาและความยุ่งยาก

กฎหมายฉบับนี้มีข้อดีในแง่ของการคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมือง และกำหนดให้มีกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์กลับคืนสู่กองทุน (เช่น กรณีของข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่มีการจัดสรรรายได้ 0.5% กลับเข้ากองทุนทุกปี)

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ ชี้ว่า กฎหมายนี้มีข้อจำกัดร้ายแรงหลายประการ คือ

  • ระยะเวลาคุ้มครองที่สั้นมาก: กฎหมายไทยให้การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่เพียง 12 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นที่สุดในโลก
  • ขั้นตอนการจดทะเบียนที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน: การจะจดคุ้มครองพันธุ์ใหม่ จำเป็นต้องผ่านการทดสอบ DUS (เพื่อพิสูจน์ความแตกต่าง ความสม่ำเสมอ และความคงตัวของพันธุ์) ซึ่งเฉพาะในกรณีของข้าว กระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี
  • ความยุ่งยากในการคุ้มครองข้ามประเทศ: หากนักวิจัยไทยต้องการนำพันธุ์พืชไปปลูกหรือทำการค้าในต่างประเทศ (เช่น ลาว หรือ แอฟริกา) พวกเขาจะต้องไปเริ่มต้นกระบวนการจดทะเบียนในประเทศนั้น ๆ ใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ซึ่งเป็นสมาชิก UPOV (ความตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่) ทำให้เวียดนามสามารถดึงทรัพยากรพันธุกรรมข้าวจากทั่วโลก ทั้งจากอินเดียหรืออเมริกา มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาพันธุ์ใหม่ได้อย่างเต็มที่

แนวทางการปรับตัวสู่มาตรฐานสากล UPOV 91

ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ ได้เน้นย้ำว่า แนวทางแก้ไขที่ตรงจุดสำหรับปัญหานี้ คือการที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีของ UPOV 91 ซึ่งเป็นกรอบความตกลงระดับนานาชาติ แม้ว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นที่ถกเถียงในสังคมมานาน แต่ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมีความชัดเจนอย่างยิ่ง

ประโยชน์ประการแรกซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ คือ การคุ้มครองพันธุ์พืชอนุพันธ์ (EDV) ท่านอธิบายว่า หากไทยเข้าร่วม UPOV 91 การดัดแปลงพันธุ์พืชที่จดทะเบียนไว้แล้ว (เช่น การนำข้าวไรซ์เบอร์รี่ไปปรับแต่งจีโนม) สิทธิ์ในพันธุ์ที่ถูกดัดแปลงนั้นจะยังคงเป็นของเจ้าของพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยอุดช่องโหว่ทางกฎหมายในปัจจุบัน

นอกจากนี้ UPOV 91 ยังมีประโยชน์ที่สำคัญในมิติอื่น ๆ อีก ได้แก่

  1. การขยายระยะเวลาคุ้มครอง: สิทธิ์ในพันธุ์พืชใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ปี (จากเดิม 12 ปี)
  2. การอำนวยความสะดวกในการคุ้มครองข้ามพรมแดน: หากพันธุ์พืชจดทะเบียนในไทยแล้ว ก็สามารถนำไปจดทะเบียนในประเทศสมาชิกอื่นได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบ DUS ซ้ำ
  3. การคุ้มครองที่ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์: ข้อกำหนดของ UPOV 91 ยังมีความเข้มงวดถึงขั้นที่สามารถให้ความคุ้มครองครอบคลุมไปถึงตัวสินค้าที่แปรรูปมาจากข้าวพันธุ์นั้น ๆ ได้อีกด้วย

ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ สรุปว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องกำหนดเกณฑ์มาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน เพื่อใช้นิยามว่าพันธุ์พืชแบบใดถือว่า “เหมือน” หรือ “แตกต่าง” จากพันธุ์ดั้งเดิม การมีมาตรฐานที่ชัดเจนนี้จะช่วยลดความระแวงของภาคส่วนต่าง ๆ ดังเช่นที่ประเทศอินเดียได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จกับผลิตภัณฑ์ของตน

หากประเทศไทยยังไม่ปรับแก้ขอบเขตทางกฎหมายเหล่านี้ ศักยภาพของนักปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทยจะยังคงถูกจำกัด และอาจนำไปสู่การสูญเสียสิทธิ์ในมรดกทางพันธุกรรมของชาติไปอย่างน่าเสียดาย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

พลิกเกมข้าวไทย ส่ง ‘พันธุ์หอมสยาม’ สู้ตลาดโลก ลดต้นทุนส่งออก-เพิ่มรายได้ชาวนา

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ชี้ตลาดบัตรเครดิต ‘คนปิดมากกว่าเปิด’ ผู้บริโภคเข้าสู่ยุค ‘ใช้เมื่อเห็นความคุ้มค่า’

Goodnotes บุกไทย เผยไทยตลาด Top 10 เปิดตัวแพ็กเกจใหม่-วิสัยทัศน์ AI สู่องค์กร

×

Share

ผู้เขียน