การท่องเที่ยวอาจเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่คุ้นเคย แต่ในยุคที่ผู้คนหันมาลงทุนกับคุณภาพชีวิตมากกว่าแค่อายุขัย สมรภูมิใหม่ที่เรียกว่า Longevity Economy หรือ เศรษฐกิจเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ ที่กำลังเปิดฉากขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น และประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่น แต่คือดาวรุ่งพุ่งแรงที่ครองอัตราการเติบโตเป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก
เวทีเสวนา “KTC FIT Talk ครั้งที่ 21” ในหัวข้อ Thailand Wellness Tourism: From Longevity Economy to Lifestyle for All ได้ระดมเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายวงการมาถอดรหัสปรากฏการณ์นี้ ชี้ให้เห็นว่า Wellness ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือไลฟ์สไตล์และโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ตั้งแต่กลิ่นหอมในบ้าน อาหารที่กิน ไปจนถึงวินัยในการนอน
สมรภูมิใหม่: เมื่อโลกไม่ได้วัดกันที่ ‘Lifespan’ แต่วัดกันที่ ‘Healthspan’

หากเลือกได้…ภาพสุดท้ายในชีวิตที่คุณวาดฝันไว้เป็นอย่างไร? ระหว่างการมีอายุยืนยาวแต่ต้องต่อสู้กับสารพัดโรคบนเตียงในโรงพยาบาล กับการใช้ชีวิตอย่างแข็งแรงเต็มศักยภาพจนถึงลมหายใจสุดท้าย นี่คือโจทย์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนมุมมองของผู้คนทั่วโลกต่อความสำเร็จของชีวิต จากเดิมที่ไล่ล่าเพียงอายุขัย (Lifespan) ที่ยืนยาว ไปสู่การแสวงหาช่วงชีวิตที่เปี่ยมสุขภาวะ (Healthspan) ที่ยาวนานที่สุด
ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และที่ปรึกษา BDMS Wellness กล่าวว่า ค่าเฉลี่ยของโลกใบนี้ ช่องว่างระหว่าง Lifespan กับ Healthspan คือ 10 ปี นั่นคือทศวรรษที่สูญหายไปกับความทุกข์ทรมานและคุณภาพชีวิตที่ถดถอย
ช่องว่าง 10 ปีนี้เอง ที่กลายเป็นภารกิจสำคัญของอุตสาหกรรม Wellness และ Longevity Economy ที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ต่อลมหายใจ แต่ต้องการเติมเต็มทุกนาทีของชีวิตให้เปี่ยมด้วยพลัง ผ่านการดูแลเชิงป้องกันและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เพื่อบีบอัดทศวรรษแห่งความเจ็บป่วยให้สั้นที่สุด และเปลี่ยนบั้นปลายชีวิตให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง
ความท้าทายในม่านหมอก: เมื่อ‘ข้อมูล’ คือจิ๊กซอว์ที่หายไป
แม้จะเต็มไปด้วยศักยภาพ แต่การขับเคลื่อน Wellness Economy ของไทยในปัจจุบัน เปรียบเสมือนการสร้างตึกสูงบนรากฐานที่ยังไม่มั่นคง และจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของรากฐานนี้คือ การขาดข้อมูลที่จับต้องได้
คุณภูมิกิตติ์ ชี้ให้เห็นรอยร้าวแรกของรากฐานนี้ นั่นคือคำนิยามของ Wellness ที่ยังคลุมเครือ “เราจะนับมูลค่าจากอาหารคลีน ฟิตเนส หรือแม้แต่ค่ายมวยไทยเพื่อลดน้ำหนักได้อย่างไร?” กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ แต่กลับกระจัดกระจายและไม่เคยถูกรวบรวมอย่างเป็นระบบ
รอยร้าวที่สองซึ่งใหญ่ไม่แพ้กัน คือความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่มีอยู่ กรด โรจนเสถียร ที่ปรึกษาประธานบริหารและประธานกรรมการ ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท ยืนยันว่า “ตัวเลขอย่างเป็นทางการคลาดเคลื่อนจากความจริงไปหลายเท่าตัว” การสร้างนโยบายจากข้อมูลที่เพี้ยน ก็ไม่ต่างจากการเดินเรือโดยไม่มีเข็มทิศที่เที่ยงตรง
อย่างไรก็ตาม ความหวังในการลงเสาเข็มครั้งสำคัญได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจสุขภาพ และการเข้ามาของ World Bank ที่จะทำวิจัยในปี 2027 ถือเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้รากฐานของชาติ เพื่อให้ตึก Wellness Economy ของไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงสู่เวทีโลก
โอกาสทองของไทย: เจาะตลาด 85% และดึง Local Business เข้าสู่เกม
แม้ข้อมูลเชิงลึกจะยังเป็นโจทย์ใหญ่ แต่มีตัวเลขหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน นั่นคือการที่ประเทศไทยติดอันดับ Top 10 ของตลาด Wellness Economy ในเอเชียแปซิฟิก และครองตำแหน่งประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขุมทรัพย์ที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่กลุ่มนักท่องเที่ยว 15% ที่ตั้งใจเดินทางมาเพื่อสุขภาพโดยตรงเพียงอย่างเดียว คุณกรด เผยข้อมูลสำคัญว่า ตลาดนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือ
Primary Wellness Traveler ประมาณ 15% เป็นกลุ่มนักเดินทางที่มุ่งมั่นและตั้งใจมาเพื่อดูแลสุขภาพโดยเฉพาะ เช่น การเข้าโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายในรีสอร์ทสุขภาพอย่างชีวาศรม และ Secondary Wellness Traveler อีก 85% เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของตลาด ที่เดินทางมาด้วยวัตถุประสงค์อื่นเป็นหลัก เช่น ประชุม เยี่ยมญาติ หรือ พักผ่อน แต่มีความสนใจและพร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับกิจกรรมหรือบริการด้านสุขภาพ เพื่อเป็นส่วนเสริมให้การเดินทางสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
“พวกเขาคือใคร? คือนักธุรกิจที่ต้องเดินทางไปประชุมต่างจังหวัด คือลูกหลานที่กลับไปเยี่ยมครอบครัว คือนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนทั่วไป แต่คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมร่วมกันอย่างหนึ่งคือ “พวกเขาไม่ต้องการให้การเดินทางมาขัดจังหวะไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสุขภาพ”
“เราต้องการ 85% นั้น” และวิธีเข้าถึงพวกเขาคือการทำให้ทางเลือกเพื่อสุขภาพมีอยู่ทุกที่และเข้าถึงง่าย การจะทำเช่นนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพารีสอร์ทหรูเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยพลังของธุรกิจท้องถิ่นที่เป็นกระดูกสันหลังของทุกจังหวัด ตั้งแต่โรงเรียนสอนมวยไทยที่เปิดคอร์สระยะสั้นให้ลองฝึก ร้านนวดแผนไทยที่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงร้านอาหารที่นำเสนอเมนูจากสมุนไพรพื้นบ้านพร้อมเล่าเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ ธุรกิจเหล่านี้คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะประกอบกันขึ้นเป็นระบบนิเวศแห่งสุขภาวะที่แข็งแกร่ง ทำให้ทุกจังหวัดของไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
ภูมิทัศน์ใหม่ท่องเที่ยวไทย 3 คลื่นลูกใหม่แห่งอนาคต
เมื่อมองไปยังอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายของปีและแนวโน้มปีหน้า ภูมิทัศน์ของการท่องเที่ยวไทยกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปรียบเสมือนการพลิกตำราที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่โอกาสที่ไม่เหมือนเดิม
ปรากฏการณ์แรกคือ นักท่องเที่ยวจีนโฉมใหม่ภาพจำของกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ได้เลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยกลุ่มก้อนที่ซับซ้อนและมีคุณภาพยิ่งขึ้น คุณภูมิกิตติ์ ให้ภาพจากภูเก็ตว่า “จากที่เคยมา 100 คน วันนี้อาจจะมาแค่ 40 แต่กำลังซื้อของ 40 คนนี้อาจเทียบเท่า 80% ของกลุ่มเดิม” สอดคล้องกับที่คุณกรด เผยว่า ชีวาศรมได้ลูกค้าจีนกลุ่มใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Top 5 เป็นกลุ่ม Gen X/Y ระดับบนที่บินมาด้วยเครื่องบินส่วนตัว ในขณะที่คุณปราโมทย์ พบว่าแม้ลูกค้าจีนจะประหยัดขึ้น แต่ก็เป็นโอกาสให้ตลาดคนไทยที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 50% เข้ามาเป็นกำลังหลักแทน
โอกาสที่สองคือ พลังของอีเวนต์ระดับโลก ในวันที่การแข่งขันสูง การรอให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเองอาจไม่เพียงพอ แต่การใช้แม่เหล็กอย่างอีเวนต์คุณภาพสูงจะเป็นตัวดึงดูดนักเดินทางกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง โดยมีหัวหอกสำคัญคืองาน Global Wellness Summit (GWS) ที่ภูเก็ตในปี 2026 ซึ่งคุณกรดมองว่า จะเป็นเวทีที่ทำให้เหล่ากูรูและผู้นำในโลก Wellness เดินทางมาประเทศไทยทั้งหมด เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำของไทยสู่สายตาชาวโลก
และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ คลื่นลูกใหม่ที่ชื่อว่า Wellness คุณภูมิกิตติ์ ชี้ให้เห็นเทรนด์สำคัญว่า ขณะที่ Medical Tourism เริ่มเผชิญความท้าทาย เมื่อประเทศคู่ค้าอย่างตะวันออกกลางเริ่มสร้างโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ของตนเอง แต่กลับเกิดตลาดใหม่ที่ใหญ่กว่า นั่นคือกลุ่มคนที่ไม่ป่วย ที่รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนค่าใช้จ่าย แต่พวกเขาพร้อมจ่ายเงินเองเพื่อเดินทางเสาะหาบริการคุณภาพที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งนี่คือคลื่นลูกใหม่ที่ประเทศไทยพร้อมจะโต้รับอย่างเต็มศักยภาพ
ถอดรหัสเสน่ห์ไทย: จาก “อาหารเป็นยา” สู่ “พลังแห่งกลิ่น“
ท่ามกลางการแข่งขันของตลาด Wellness โลกที่นับวันจะยิ่งดุเดือด ประเทศไทยไม่ได้มีดีแค่บริการที่เป็นเลิศ แต่ครอบครองไพ่เหนือกว่าด้วย “ดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา” ที่ลอกเลียนแบบไม่ได้ ซึ่งถูกถักทอเป็นประสบการณ์แห่งสุขภาวะที่ไม่เหมือนใคร
ดีเอ็นเอสายแรกคือ อาหารเป็นยา ที่เป็นมากกว่าแค่รสชาติอร่อย ผศ.ดร.จุฑามาศ วิศาลสิงห์ ประธานเครือข่าย Thailand Gastronomy Network กำลังผลักดันให้เกิดความรอบรู้เรื่องอาหาร (Food Literacy) สร้างสรรค์โปรแกรมท่องเที่ยวที่ลึกซึ้ง เช่น Edible Beauty Journey ที่ทุกคำคือการบำรุงความงามจากภายใน หรือ Creative Focus Camp ที่ใช้อาหารเพื่อกระตุ้นพลังสมองและความคิดสร้างสรรค์
ดีเอ็นเอสายที่สองคือ กลิ่นหอมแห่งความทรงจำ พลังของประสาทสัมผัสคืออีกหนึ่งหัวใจสำคัญ ปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัดเล่าว่า กลิ่นไม่ได้เป็นแค่ความผ่อนคลาย แต่คือประตูสู่ความทรงจำและวัฒนธรรม อย่างกลิ่น Siamese Water ที่ได้แรงบันดาลใจจากน้ำลอยดอกมะลิของคุณย่า ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นกลิ่นที่ขายดีที่สุด แต่ยังเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับเรื่องราวอันอบอุ่นของวิถีไทย
และดีเอ็นเอสายที่สามคือ จิตวิญญาณในทุกรายละเอียด ที่พักไม่ได้เป็นแค่สถานที่นอน แต่คือพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ ริชาร์ด ดอยท์ล ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมสุโขทัยกรุงเทพ ย้ำว่าเป้าหมายของพวกเขาคือการเป็นที่ปรึกษาและตัวเร่งให้แขกได้ค้นพบเส้นทางสุขภาพของตนเอง ผ่านบรรยากาศ สถาปัตยกรรม และเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกอยู่ในทุกมุม เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดูแลครบทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
ดีเอ็นเอทั้งสามสายนี้คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบของไทยต่อปรากฏการณ์ Longevity Economy ที่ได้เปลี่ยนนิยามความสำเร็จของชีวิตไปสู่การมี Healthspan ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ โจทย์ใหญ่ที่เหลืออยู่คือการจัดทำข้อมูลให้ชัดเจน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ และเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางแห่งวิถีสุขภาวะที่ทั่วโลกต้องเดินทางมาสัมผัส
KTC ชี้ Wellness Tourism คือขุมทรัพย์คนรุ่นใหม่ทุ่มเงินเพื่อสุขภาพ
เมื่อการดูแลสุขภาพไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่บ้านหรือฟิตเนส แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกการเดินทาง ไลฟ์สไตล์ใหม่นี้กำลังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล และผู้ที่เห็นสัญญาณนี้ชัดเจนที่สุดคือผู้ให้บริการทางการเงินอย่างเคทีซี
วริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาด บัตรเครดิต เคทีซี เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจว่า พฤติกรรมของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีกำลังเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้มองหาแค่ที่พักสวยงาม แต่ยังลงทุนด้านสุขภาพควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว อย่างจริงจัง ตัวเลขได้ยืนยันเทรนด์นี้ เมื่อพบว่ายอดใช้จ่ายต่อครั้งในโรงแรมที่ตอบโจทย์ Wellness สูงกว่าโรงแรมทั่วไปถึง 1.88 เท่า
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ คลื่นลูกนี้ไม่ได้มาจากกลุ่มผู้สูงวัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังเห็นสัญญาณการเติบโตที่ชัดเจนจากกลุ่มคนอายุ 30–35 ปี ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า Wellness ได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เคทีซีจึงไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ผู้ให้บริการบัตรเครดิต แต่มุ่งสร้าง Travel Ecosystem ที่ดูแลสมาชิกในทุกมิติของสุขภาวะ ผ่านแพลตฟอร์มเรือธงอย่าง KTC Wellness Hub ที่รวบรวมพันธมิตรคุณภาพกว่า 60 ราย มามอบสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าส่วนลด แต่คือการเปิดประตูให้สมาชิกกว่า 2.8 ล้านคนได้เข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐานและคุ้มค่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“บทบาทของเคทีซี คืออีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยผู้ประกอบการเชื่อมต่อกับฐานลูกค้าคุณภาพ และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ Wellness Destination ชั้นนำของโลก” คุณวริษฐา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ETDA เปิดตัวหลักสูตร ‘อัตลักษณ์ดิจิทัลสำหรับประชาชน’ พัฒนาพลเมืองดิจิทัลไทย ทันภัยไซเบอร์
Longevity ที่แท้จริง คือ ‘นอน-กิน-ออกกำลังกาย’ ไม่ใช่เทรนด์หรูหรา




