จากของเสียที่เคยเป็นต้นทุนในการกำจัด สู่วัตถุดิบที่สร้างมูลค่าและโอกาสทางธุรกิจใหม่ กับความสำเร็จที่จับต้องได้ของ 3 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ ถิรไทย (Thira Thai) ผู้นำด้านหม้อแปลงไฟฟ้า ริโก้ (Ricoh) ยักษ์ใหญ่แห่งเครื่องใช้สำนักงาน และ วัลคัว (Valqua) ผู้ผลิตซีลยางคุณภาพสูง ที่ได้สร้างมิติใหม่ให้กับการผลิตอย่างยั่งยืนผ่านโครงการ “Design for Circular Economy” โดยความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Mindset) ครั้งสำคัญ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าหลักการ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สามารถนำมาปรับใช้ได้จริงในโลกอุตสาหกรรม สร้างประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม
ถิรไทย – ชุบชีวิตหม้อแปลงไฟฟ้าสร้าง “ผลิตภัณฑ์วัฏจักรใหม่”
โจทย์ของถิรไทยเริ่มต้นจากคำถามที่ว่า จะจัดการอย่างไรกับผลิตภัณฑ์ขนาดมหึมาที่มีอายุการใช้งานยาวนานหลายสิบปีให้เกิดความยั่งยืน และจะลดการพึ่งพาทรัพยากรใหม่จากต่างประเทศได้อย่างไร
ปรัชจนีย์ จีระสวัสดิ์ ผู้จัดการส่วนพัฒนาระบบมาตรฐานงาน บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถิรไทยเผชิญความท้าทายสองด้าน หนึ่งคือการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า เช่น เหล็กซิลิกอนและทองแดง ซึ่งมีความผันผวนด้านราคาและการจัดส่ง สองคือความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์เมื่อหมดอายุการใช้งาน (End-of-life) หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกปลดระวางมักถูกขายให้ผู้รับซื้อของเก่า ซึ่งอาจนำไปแยกส่วนหรือกำจัดอย่างไม่ถูกวิธี
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมที่สั่งสมมากว่า 38 ปี ผนวกกับองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์จาก MTEC ถิรไทยจึงได้พัฒนากระบวนการ “รีแมนูแฟคเจอริ่ง” (Remanufacturing) หรือการนำหม้อแปลงเก่าอายุ 20 ปี กลับมาถอดแยกชิ้นส่วนอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบคุณภาพทางวิศวกรรมของส่วนประกอบหลัก เช่น ถังเหล็ก แกนเหล็กซิลิกอน และน้ำมัน ก่อนจะนำชิ้นส่วนที่ยังคงสภาพดีเยี่ยมกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่
ความสำเร็จของโครงการนี้ก่อให้เกิด หม้อแปลงไฟฟ้าวัฏจักรใหม่ (CE Transformer) ที่เป็นรูปธรรม โดยสามารถนำวัตถุดิบเดิมกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิตได้ถึง 66% เมื่อเทียบโดยน้ำหนัก ซึ่งครอบคลุมส่วนประกอบหลักเกือบทั้งหมดทั้งเหล็กโครงสร้าง ตัวถัง และแกนเหล็กซิลิกอน
สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือ หม้อแปลงที่ผ่านการชุบชีวิตใหม่นี้ไม่เพียงแค่ใช้งานได้ แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงเกินความคาดหมาย โดยผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากลที่เข้มงวดอย่าง IEC 60076 และ มอก. 384 ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นมาตรฐานของเทคโนโลยีปัจจุบัน แม้ตัวหม้อแปลงจะมีอายุตั้งต้นถึง 20 ปีก็ตาม โดยมีค่าประสิทธิภาพสูงถึง 98.92% (จากมาตรฐาน 98.5%) และมีระดับเสียงรบกวนต่ำเพียง 48.7 เดซิเบล (จากมาตรฐานไม่เกิน 55 เดซิเบล)
ทั้งหมดนี้ยังส่งผลให้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ลดลงอย่างมหาศาลถึง 68% และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างปรัชญาการทำงานใหม่ให้กับองค์กร นั่นคือ “ออกแบบจุดตาย เพื่อไปหาจุดเกิดใหม่” ซึ่งได้กลายเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมของถิรไทยต่อไปในอนาคต
ริโก้ – ปลดล็อกคุณค่า “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” สู่ธุรกิจรีไซเคิลครบวงจร
ความท้าทายของริโก้สะท้อนภาพปัญหาแห่งยุคดิจิทัล เมื่อผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีจำนวนมหาศาลเดินทางมาถึงปลายทางของวงจรชีวิต จะทำอย่างไรให้ซากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่กลายเป็นเพียงขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไร้มูลค่า
วินิต ปาเทลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท ริโก้ (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า แม้บริษัทจะมีกระบวนการรีเฟอร์บิช (Refurbish) หรือปรับปรุงสภาพเครื่องถ่ายเอกสารเก่าอยู่แล้ว แต่เครื่องที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการส่งไปกำจัดสูง และมีวัสดุประมาณ 20% ที่ผู้รับกำจัดไม่สามารถรีไซเคิลต่อได้ ทำให้ทรัพยากรสูญเปล่า
โครงการนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างกระบวนการรีไซเคิล (Recycle) ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม โดยริโก้ได้ลงมือถอดแยกชิ้นส่วนเครื่องถ่ายเอกสารอย่างละเอียดจนถึงระดับวัสดุ เช่น พลาสติกชนิดต่าง ๆ (PC, ABS) เหล็ก หรือแม้กระทั่งแผ่นกาว โดยมีทีมวิจัยจาก MTEC เข้ามาช่วยวิเคราะห์และระบุชนิดของวัสดุที่ซับซ้อนและไม่มีป้ายบอก
ผลลัพธ์เชิงที่ได้ คือโครงการนี้ได้พลิกโฉมการจัดการของเสียของริโก้ไปอย่างสิ้นเชิง โดยสามารถพัฒนากระบวนการคัดแยกชิ้นส่วนที่ทำให้กู้คืนวัสดุจากเครื่องถ่ายเอกสารเก่าได้เกือบ 90% ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาง่าย ๆ เพราะต้องเผชิญกับความท้าทายในการแยกชิ้นส่วนขนาดเล็กที่ซับซ้อน เช่น เฟืองพลาสติกต่างชนิดที่ปะปนกัน ซึ่ง MTEC ได้เข้ามาช่วยคิดค้นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้สารละลายเกลือเพื่อแยกพลาสติกตามความถ่วงจำเพาะ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแค่ลดขยะที่ต้องส่งไปกำจัด แต่ยังเป็นการปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจใหม่
โดยริโก้ได้เริ่มเจรจากับโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติก เพื่อส่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลกลับไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตเครื่องใหม่ เป็นการสร้างระบบ ปิดลูปซัพพลายเชน (Closed-loop Supply Chain) ที่สมบูรณ์
นอกจากนี้ยังเป็นการวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางรีไซเคิลเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่อาจรับงานจากแบรนด์คู่แข่งในอนาคต และที่สำคัญ ข้อมูลอุปสรรคจากการถอดแยกชิ้นส่วนได้กลายเป็นข้อมูลป้อนกลับอันล้ำค่าส่งไปยังทีมออกแบบผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ เพื่อเป็นโจทย์ในการพัฒนารุ่นต่อไปที่เอื้อต่อการรีไซเคิลมากยิ่งขึ้น
วัลคัว – แก้ปัญหาหน้างานด้วยนวัตกรรมลดของเสียให้เป็นศูนย์
ต่างจากสองกรณีแรก ปัญหาของวัลคัวไม่ได้อยู่ที่ปลายทางของผลิตภัณฑ์ แต่ซ่อนอยู่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต ทำอย่างไรจึงจะลดการสูญเสียทรัพยากรที่เกิดขึ้นในสายการผลิตได้โดยตรง
มงคล เทียนสันต์ Production Manager บริษัท วัลคัว อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ของบริษัท คือการมีของเสียในกระบวนการผลิตค่อนข้างสูง ปัญหาหลักเกิดจากการปนเปื้อนของสี ขณะเปลี่ยนไลน์การผลิตสำหรับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งมีสเปกสีแตกต่างกัน ทำให้ยางล็อตแรก ๆ กลายเป็นของเสีย นอกจากนี้ยังมีการสูญเสียตัวทำละลาย (Toluene) จากระบบเปิดในกระบวนการผลิต
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ทีมงานของวัลคัวและ MTEC ได้ผนึกกำลังกันแก้ปัญหาอย่างตรงจุด โดยนำหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเสริมประสบการณ์จากหน้างานโดยตรง สำหรับปัญหาการปนเปื้อนของสี ทีมงานได้พัฒนานวัตกรรมสำคัญคือ “ยางล้างลูกกลิ้ง” ซึ่งเป็นสูตรยางพิเศษที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดโดยเฉพาะ ทำให้สามารถลดการสูญเสียยางที่ใช้ในการผลิตจริงได้อย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่กันไป ทีมงานยังได้แก้ไขปัญหาการสูญเสียตัวทำละลาย ด้วยการออกแบบและปรับปรุงอุปกรณ์ในจุดที่เกี่ยวข้องให้เป็น “ระบบปิด” ที่มีประสิทธิภาพในการดักจับไอระเหยกลับมาใช้ใหม่ได้เกือบ 100% ซึ่งเป็นแก้ปัญหาที่ช่วยลดทั้งต้นทุนการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับวัลคัวคือการลดปริมาณของเสียในสายการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นใหม่อย่างยางล้างลูกกลิ้ง ซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการทดลองและปรับปรุงซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่า 8-9 รอบ จนได้สูตรที่สมบูรณ์แบบ
แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือการค้นพบโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากตัวโครงการเอง เมื่อผลิตภัณฑ์ยางที่สมบูรณ์แบบในเชิงฟังก์ชันแต่มีตำหนิเรื่องสีซึ่งเดิมทีต้องถูกทิ้งเป็นของเสีย ได้พบกับคู่ค้าที่ไม่คาดคิดอย่างถิรไทย ซึ่งยินดีรับซื้อเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนประกอบภายในหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไม่ต้องการความสวยงาม นับเป็นการเปลี่ยน “ของเสีย” ของบริษัทหนึ่งให้กลายเป็น “วัตถุดิบ” ของอีกบริษัทหนึ่งอย่างสมบูรณ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน
สิ่งนี้ได้ตอกย้ำบทเรียนสำคัญที่วัลคัวได้รับจากโครงการว่า การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนนั้นไม่สามารถอาศัยเพียงประสบการณ์หน้างานที่สั่งสมมาอย่างยาวนานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย หลักการทางวิชาการ เข้ามาช่วยวิเคราะห์และยกระดับกระบวนการไปพร้อมกัน
ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมไทยที่ยั่งยืน
ความสำเร็จของทั้งสามบริษัทสะท้อนให้เห็นถึงหัวใจสำคัญ 3 ประการ คือ หนึ่ง – การมี Mindset ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เคยเรียกว่าของเสีย สอง – การลงมือทำ และเก็บข้อมูลอย่างจริงจังเพื่อทำความเข้าใจระบบของตนเอง และ สาม – พลังของ “ความร่วมมือ” ระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาควิชาการ ที่ช่วยเติมเต็มองค์ความรู้และเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เร็วยิ่งขึ้น
กรณีศึกษาเหล่านี้เป็นมากกว่าเรื่องราวความสำเร็จ แต่คือบทพิสูจน์ว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่เป็นเพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้และวัดผลได้จริง สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนมุมมองต่อ “ของเสีย” จากเดิมที่เป็นภาระและต้นทุนในการกำจัด ให้กลายเป็น “ทรัพยากร” ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการที่ถิรไทยสามารถลดการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าที่มีราคาผันผวน การที่ริโก้สามารถต่อยอดสู่ธุรกิจรีไซเคิลครบวงจรที่สร้างรายได้ใหม่ หรือการที่วัลคัวค้นพบตลาดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ที่เคยถูกคัดทิ้ง นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมสู่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจอย่างแท้จริง
ปรากฏการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีหน่วยงานอย่าง MTEC และ ก.พ.ร. เป็นแกนหลักในการสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้และเป็นพี่เลี้ยงทางเทคโนโลยี ทำให้เกิดการเชื่อมโยงกัน เช่น ความร่วมมือระหว่างวัลคัวและถิรไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นยิ่งใหญ่กว่าการแก้ปัญหาของแต่ละบริษัท แต่เป็นการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมที่เกื้อกูลกัน ดังนั้น นี่คือจุดเริ่มต้นที่แข็งแกร่งและเป็นต้นแบบที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือ SMEs ที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางของเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อร่วมกันสร้างอุตสาหกรรมไทยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนไปพร้อมกัน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ




