“รถยนต์เศรษฐกิจไทยไม่ได้แค่ติดหล่ม แต่อาจกำลังดิ่งเหว” คำเตือนดังจากปากของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สะท้อนภาพความเปราะบางของสถานการณ์ปัจจุบันอย่างน่ากังวล ท่ามกลางตัวเลขคาดการณ์ GDP ที่อาจเหลือเพียง 0.3% ในไตรมาสสุดท้ายของปี พร้อมชี้ให้เห็นถึง 4 พายุใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนโลกและปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุมเร้า ก่อนจะเปิดยุทธศาสตร์เร่งด่วนภายใต้ภารกิจที่มีเวลาเพียง 4 เดือน เพื่อพลิกฟื้นประเทศด้วยนโยบาย “Quick-Big-Win
“เศรษฐกิจไทยวันนี้เปรียบเหมือนรถยนต์ที่เก่า ขับช้าลงเรื่อย ๆ สวนทางเพื่อนบ้านที่วิ่งฉิว แถมคนขับยังแก่และขาดทักษะยุคใหม่ ที่น่ากังวลคือ รถคันนี้ไม่ได้แค่ติดหล่ม แต่อาจกำลังจะดิ่งเหวในไตรมาสสุดท้ายของปี”
ดร.เอกนิติ ชี้ว่า สัญญาณอันตรายปรากฏชัดจากตัวเลขการเติบโตที่ดิ่งลงอย่างน่าใจหาย จาก 3.2% ในไตรมาสแรก เหลือ 2.8% ในไตรมาสสอง และคาดการณ์ว่าจะทรุดลงเหลือ 1.7% ในไตรมาสสาม และอาจเหลือเพียง 0.3% ในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้
สถานการณ์ที่เปราะบางนี้ เป็นผลพวงจากทั้งพายุใหญ่ที่โหมกระหน่ำจากภายนอก และปัญหาเชิงโครงสร้างที่กัดกินอยู่ภายในประเทศมานาน
เผชิญ 4 พายุใหญ่เปลี่ยนโลก ประเทศไทยอยู่ตรงไหน?
ดร.เอกนิติ วิเคราะห์ว่า โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงใน 4 มิติ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางของประเทศไทย
- จากโลกการค้าเสรีสู่โลกเลือกข้าง (Decoupling) ยุคของการลดกำแพงภาษีและเคลื่อนย้ายการลงทุนอย่างเสรีสิ้นสุดลงแล้ว โลกกำลังแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน การส่งออกไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพและราคาเท่านั้น แต่ยังต้องตรวจสอบที่มาของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ว่ามาจาก “ข้างไหน” ซึ่งเป็นความท้าทายใหญ่ของไทยที่เคยเติบโตจากการเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนโลก
- จากเบบี้บูมสู่ “โอลเดอร์บูม” (Older Boom) ไทยกำลังเผชิญกับสังคมสูงวัยขั้นรุนแรง โดยมีประชากรอายุเกิน 60 ปี สูงถึง 20% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 15% ซ้ำร้าย เรากำลังเข้าสู่ภาวะ “จนก่อนแก่” ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่ “รวยก่อนแก่” ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากกลายเป็นภาระทางการคลัง ขณะที่กำลังแรงงานในประเทศก็หดหายไป
- จากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลสู่ยุค AI เต็มรูปแบบ เทคโนโลยี AI พัฒนาอย่างก้าวกระโดดภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เปลี่ยนโฉมหน้าการทำงานและการทำธุรกิจ แต่คำถามสำคัญคือ คนไทยและภาคธุรกิจปรับตัวทันหรือไม่
- จากโลกสีเทาสู่ “โลกสีเขียว” (Green Economy) กติกาโลกใหม่กำลังมุ่งไปสู่ความยั่งยืน มาตรการภาษีคาร์บอนของยุโรป (CBAM) เป็นเพียงจุดเริ่มต้น นักลงทุนต่างชาติในปัจจุบันถามหา “พลังงานสะอาด” เป็นอันดับแรกก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่ไทยต้องคว้าให้ได้
เจาะลึกอาการป่วยเรื้อรังของเศรษฐกิจไทย
นอกเหนือจากปัจจัยภายนอกแล้ว ดร.เอกนิติ ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างภายในที่ทำให้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
การลงทุนหดหาย ก่อนวิกฤติปี 2540 ประเทศไทยเคยลงทุนถึง 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 23% การไม่ลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เปรียบเสมือนการใช้ “รถเก่า” วิ่งแข่งในสนามที่เปลี่ยนไป
แรงงานขาดทักษะ ปัญหาใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติบ่นเป็นเสียงเดียวกันคือ ทักษะแรงงานไทยไม่ตรงความต้องการ โดยเฉพาะในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การลงทุนย้ายฐานไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม นี่คือปัญหาของคนขับที่ทักษะต่ำ
หนี้ครัวเรือนสูง-SME ขาดสภาพคล่อง หนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 80% ของ GDP ตัดทอนกำลังซื้อของประชาชน ขณะที่ผู้ประกอบการ SME ก็ขาดสภาพคล่อง เปรียบเหมือนรถที่น้ำมันกำลังจะหมด
เปิดแผน “Quick-Big-Win” ภารกิจพลิกฟื้นใน 4 เดือน
ท่ามกลางข้อจำกัดด้านเวลาและงบประมาณ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ “Quick-Big-Win” ที่มีหลักการคือ กระตุ้นสั้น-ได้ผลยาว-กระจายตัว ผ่าน 5 เสาหลัก เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ดิ่งเหว และวางรากฐานสำหรับอนาคต
เสาที่ 1 กระตุ้นการบริโภคแบบมีเป้าหมาย นโยบายคนละครึ่งเฟสใหม่ ไม่ใช่แค่การแจกเงิน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อกระจายรายได้สู่ร้านค้ารายย่อย หาบเร่แผงลอย และได้ผลระยะยาวด้วยการสอดแทรกการ Reskill ผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน สอนการขายออนไลน์ ลดต้นทุน พร้อมสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าระบบภาษี โดยผู้ที่อยู่ในระบบจะได้รับเงินมากกว่า
เสาที่ 2 แก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชน ใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ ที่มีอยู่แล้ว (ไม่ใช่ใช้งบประมาณ) จำนวน 26,000 ล้านบาท เข้าไปซื้อหนี้เสีย (NPL) มาบริหารจัดการ เพื่อ ปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลา ลดภาระการผ่อนชำระ ให้ประชาชนกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง
เสาที่ 3 เติมสภาพคล่องให้ SME ใช้กลไก บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ,จัดทำระบบ Supply Chain Financing ให้ผู้ประกอบการที่รับงานภาครัฐได้เงินเร็วขึ้น คืนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบ Post Audit (คืนก่อน-ตรวจทีหลัง) และออกมาตรการทางภาษีจูงใจให้บริษัทใหญ่ช่วยเหลือ SME ในเครือข่าย
เสาที่ 4 สร้างตาข่ายความมั่นคงยามเกษียณ ผุดไอเดีย “สลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ” หรือ “หวยบำเหน็จ” โดยกันเงินส่วนหนึ่งจากสลากกินแบ่งรัฐบาลที่คนซื้อเป็นปกติอยู่แล้ว มาสะสมไว้ในกองทุนให้ผู้ซื้อโดยอัตโนมัติ เงินก้อนนี้จะถอนได้เมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป และสามารถใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมยามฉุกเฉินได้ เป็นการสร้างวินัยการออมและหลักประกันให้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่อยู่นอกระบบบำนาญ
เสาที่ 5 ปลดล็อกการลงทุนสู่อุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ใช้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถของ BOI วงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทำหลักสูตร Upskill-Reskill ระยะสั้น ตามความต้องการของนักลงทุนโดยตรงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น BCG, EV, Data Center, Semiconductor และจัดตั้งหน่วย Fast Track เพื่อเร่งรัดการลงทุนที่ได้รับอนุมัติไปแล้วแต่ยังค้างท่ออยู่กว่า 470,000 ล้านบาท ให้เกิดขึ้นจริง
ดร.เอกนิติ ปิดท้ายด้วยการยืนยันว่า ทุกนโยบายจะดำเนินอยู่บนพื้นฐานของ วินัยการคลัง โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการจัดทำกรอบวินัยการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework) เพื่อสร้างความโปร่งใสและเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับคืนมา
“เรามั่นใจว่าภายใน 4 เดือนนี้ จะมีนโยบายออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยไม่ให้ติดลบ และที่สำคัญคือการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและพร้อมที่จะก้าวต่อไปในโลกที่เปลี่ยนแปลง” ดร.เอกนิติ กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลิกโลกด้วย Remanufacturing สู่ระเบิดเวลาลูกใหม่ ‘ซากแบตเตอรี EV
อนุทิน ชาญวีรกูล เปิดแผน ‘รีเซ็ตประเทศไทย’ ฟื้นเศรษฐกิจตั้งเป้าทวงผู้นำภูมิภาค
กระทรวงพลังงานชูยุทธศาสตร์ ‘Quick Big Win’ เร่งเครื่องไทยสู่ Net Zero 2050




