ปัจจุบัน Blockchain กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นด้านการจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย โปร่งใส และไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง จึงได้รับการนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม สำหรับประเทศไทยอุตสาหกรรม Blockchain มีโอกาสเติบโตอย่างมาก รวมถึงมีขีดความสามารถในการก้าวเป็น Digital Asset Hub ของเอเชีย
Thailand Blockchain Week 2024 เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้อุตสาหกรรมและตลาดที่เกี่ยวกับ Blockchain การจัดงานครั้งนี้นับเป็นปีที่ 7 เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านบล็อกเชนของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักพัฒนา คอมมูนิตี้ และนวัตกรรมจากบริษัทต่าง ๆ เข้าร่วมอย่างคึกคัก สัญชัย ปอปลี Co-founder & CEO Crytomind Group ผู้นำการจัดงานมุ่งเน้นให้เห็นโอกาสในการลงทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม Blockchain และคริปโท โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากราคาของ Bitcoin ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีความคึกคักและเป็นที่จับตามอง
ผลกระทบกับตลาดตลาดคริปโทในปี 2025
การที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของ Digital Asset ในเอเชียได้นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการทั้งที่เป็นโอกาสและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในตลาด แต่ในมุมมองผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า “โอกาสมีมากกว่า” สังเกตจากความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่าง Blockchain และตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ การเติบโตของมูลค่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาในอดีต และคาดการณ์ว่าจะโตขึ้นอีกในอนาคตตั้งแต่ปี 2020 มูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 191 พันล้านดอลลาร์ ต่อมา 2022 เพิ่มขึ้นเป็น 776 พันล้านดอลลาร์ โดยในปี 2023 อยู่ที่ 829 พันล้านดอลลาร์ และปี 2024 มูลค่ากระโดดมาอยู่ที่ 1.725 ล้านล้านดอลลาร์
สัญชัย วิเคราะห์ถึงปัจจัยที่จะส่งผลกระทบกับตลาดตลาดคริปโทในปี 2025 ไว้ 2 ข้อหลัก ๆ คือ 1) ธนาคารกลางอาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024 และมีแนวโน้มที่จะลดต่อเนื่องในปี 2025 ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมต่ำลง ทำให้ผู้ลงทุนและสถาบันการเงินมีเงินทุนในมือมากขึ้น อาจส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงอย่างคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐเองก็อาจเริ่มใช้นโยบาย QE อีกครั้งในปี 2025 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อมีการเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินก็อาจเป็นอีกทางที่นักลงทุนสามารถลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ และสร้างแรงจูงใจในการลงทุนในตลาดคริปโทได้เช่นกัน
2) สถาบันการเงินอาจเพิ่มการลงทุนในกองทุน ETF ของ Bitcoin และ Ethereum รวมถึงนโยบายด้านคริปโท (เชิงบวก) ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดคริปโทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ได้รับการยอมรับในวงกว้าง และดึงดูดเงินทุนเข้าสู่ตลาด
ในขณะเดียวกันก็อาจมีอุปสรรคเกิดขึ้นได้ เช่น โอกาสที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2025 หรือความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนของตลาดคริปโท เช่น ความขัดแย้งทางการเมืองและสงคราม ข้อจำกัดการค้าระหว่างประเทศ การโจมตีไซเบอร์ระหว่างประเทศ เป็นต้น
ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ กับโอกาสของนักลงทุนคริปโท
สำหรับโอกาสของนักลงทุนที่จะเกิดขึ้น นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ได้จากการดำเนินการของผู้นำประเทศมหาอำนาจ ที่มีมุมมองในการจำการดำเนินงานพัฒนาเรื่อง Blockchain และคริปโทเคอร์เรนซี
ตัวอย่างคือการผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีของทรัมป์ โดยจะเน้นไปที่การปรับใช้ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีให้เป็นกลยุทธ์การดำเนินงานของประเทศ เช่น การจัดตั้งสำรอง Bitcoin แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนคริปโทในประเทศ การอนุญาตให้ประชาชนสามารถเก็บรักษา Bitcoin ด้วยตัวเอง หรือแม้กระทั่งปรับเปลี่ยนคณะกรรมการที่ปรึกษาด้าน Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีให้เป็นกลุ่มที่ความคิดยอมรับเรื่องคริปโทโดยเฉพาะ เป็นต้น
การเติบโตของคริปโทในตลาดนักลงทุนไทย
ในประเทศไทยก็มีการเติบโตของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีเช่นเดียวกัน ก.ล.ต. รายงานว่ามีการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นถึง 2.1 ล้านบัญชีภายในปี 2024 ซึ่งมีบัญชีที่เคลื่อนไหว (Active Users) ประมาณ 2.1 ล้านบัญชี คิดเป็น 34.78% ทางด้านตลาดคริปโท มีผู้ใช้งานบัญชีทั้งหมดประมาณ 3 ล้านคน มีบัญชีที่เคลื่อนไหว (Active Users) ประมาณ 0.7 ล้านบัญชี คิดเป็น 24.52% เทียบกันแล้วการเติบโตทั้งสองตลาดนับว่าได้รับความนิยมเกือบเทียบเท่ากันเลยก็ว่าได้
ประกอบกับประเทศไทยมีศักยภาพในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ รัฐบาลไทยและสถาบันการศึกษาหลายแห่งได้ร่วมมือกันในการพัฒนาหลักสูตรด้าน Blockchain และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อผลิตบุคลากรที่มีทักษะในด้านนี้โดยเฉพาะ อีกอย่างหนึ่งประเทศไทยมีธุรกิจสตาร์ตอัพที่เริ่มนำ Blockchain มาประยุกต์ใช้ในหลากหลายรูปแบบ แถมยังมีธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลในประเทศไทย โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นการการันตีถึงความน่าเชื่อถือ มั่นคงให้กับนักลงทุนได้อย่างมาก อาทิ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขาย เช่น Orbitx, Bitkub, Binance TH, Upbit, TDX, ERX ฯลฯ ความพร้อมทางด้านต่าง ๆ ที่มาสามารถแข่งกับประเทศอื่น ๆ ได้ ทำให้ปัจจุบันเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ในไทยกว่า 1.5 – 2 ล้านเหรียญ และประเทศไทยเองก็เดินหน้าลงทุนกับธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลกไปกว่า 200 ล้านเหรียญเช่นกัน นับเป็นเงินมูลค่ามหาศาลที่ไหลเวียนอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง
“Innovate” การสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่จะดึงดูดนักลงทุน

Innovate หมายถึงการสร้างสรรค์หรือพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ตัวอย่างของการ Innovate อุตสาหกรรมและตลาดที่เกี่ยวกับ Blockchain อาจเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือ Blockchain มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงการทำงานหรือสร้างโอกาสในการเติบโต
ปัจจุบันมีโครงการสำคัญในวงการบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซีหลายโครงการ ที่บ่งชี้ว่าจะเกิดการเติบโตของตลาดเพิ่มได้อีก เช่น Bitcoin ETF เป็นกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนที่อ้างอิงมูลค่าจาก Bitcoin ทำให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนใน Bitcoin ผ่านตลาดทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น หรือ Ethereum ETF กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนที่อ้างอิงมูลค่าจาก Ethereum ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง Ethereum ได้ง่ายผ่านตลาดทุน เป็นต้น
อย่างที่กล่าวไปว่า ด้วยมูลค่าเงินจำนวนมหาศาลที่อยู่ในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล จะส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยเติบโตขึ้น มีภาคส่วนต่าง ๆ ได้รับประโยชน์จากอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้นอย่างการจัดงาน Thailand Blockchain Week 2024 ครั้งนี้ เกิดประโยชน์กับธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการ การขนส่งและโลจิสติกส์ หรือการจัดการอีเวนต์และความบันเทิง ฯลฯ ในระยะยาวหากมีการผลักดันอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านกฎหมายและการกำกับดูแลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล หรือเกิดเป็นบริการทางการเงินจากผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาดเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นๆ หรือสร้างให้เศรฐกิจของประเทศดีขึ้นได้
สัญชัย ฝากไว้ว่า หากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางของ Digital Asset ในภูมิภาคเอเชีย มีหลายด้านที่จำเป็นต้องเร่งผลักดันและพัฒนาเพื่อให้สามารถแข่งขันและก้าวสู่เป้าหมายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการพัฒนากฎระเบียบและนโยบายที่ชัดเจน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น สนับสนุนเทคโนโลยี Blockchain และ Smart Contract รวมถึงพัฒนาทักษะบุคลากรในด้านการสร้างซอฟต์แวร์และ Smart Contract สร้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีจูงใจให้บริษัทและนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และที่สำคัญการให้ความรู้และการส่งเสริมการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับ Digital Asset ให้เข้าใจถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการลงทุนและการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนตลาดให้เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางของ Digital Asset ในภูมิภาคเอเชียให้ได้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
IBM ประกาศมิชชันเสริมแกร่งธุรกิจไทยใช้ AI พลิกโฉมธุรกิจ
Speech-to-Text by WordSense แปลงเสียงเป็นข้อมูล สู่ความเป็นไปได้ใหม่ที่ได้เปรียบทางธุรกิจ
3 นักวิจัยสตรีรับทุนลอรีอัล รักษามะเร็ง สร้างมูลค่าเพิ่มเชิงธุรกิจของก๊าซเรือนกระจก




