สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ฝันไกลถึงเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก “ฮ่องกง” ยังคงเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่น่าจับตามอง และข้อมูลเชิงลึกจาก ลู่ ชินหยง รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจสตาร์ตอัพจาก Invest Hong Kong (InvestHK) ได้เผยให้เห็นภาพโอกาสและระบบนิเวศที่พร้อมสนับสนุนธุรกิจไทยอย่างเต็มศักยภาพ
InvestHK ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานภาครัฐ แต่ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมธุรกิจ” ที่ให้บริการแบบครบวงจรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่การให้ข้อมูลเชิงลึก การวางกลยุทธ์ การเชื่อมต่อกับคู่ค้าและนักลงทุน ไปจนถึงการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ด้วยเครือข่ายสำนักงาน 34 แห่งทั่วโลก รวมถึงสำนักงานในกรุงเทพฯ ที่พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยตรง
จาก“ด่านรับ” สู่“ฐานส่งออก”: กลยุทธ์สองทิศทางที่สร้างโอกาสไม่สิ้นสุด
ลู่ ชินหยง อธิบายถึงวิวัฒนาการเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญซึ่งทำให้บทบาทของฮ่องกงในเวทีโลกมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเดิมทีนั้น InvestHK มุ่งเน้นกลยุทธ์เชิงรุกในการเป็น “ด่านรับ” (Inbound) เพื่อดึงดูดบริษัทจากต่างประเทศและจีนแผ่นดินใหญ่ให้เข้ามาจัดตั้ง สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค (Regional Headquarters) ในฮ่องกง โดยมีเป้าหมายหลักคือการใช้ฮ่องกงเป็นประตูสู่ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตเศรษฐกิจ Greater Bay Area (GBA) ที่มีศักยภาพมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ด้วยภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและการแข่งขันระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป InvestHK ได้ตระหนักว่าการเป็นเพียงผู้รับอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป จึงได้ยกระดับบทบาทของตัวเองสู่การเป็น “ผู้ส่งออกโอกาส” (Outbound) ด้วย กลยุทธ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลักดันบริษัทท้องถิ่นของฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทต่างชาติที่ได้เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในฮ่องกงแล้ว ให้สามารถใช้ฮ่องกงเป็นสปริงบอร์ดเพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
ตัวอย่างที่ชัดเจนล่าสุด คือการนำคณะผู้ประกอบการจากฮ่องกงกว่า 17 บริษัท ซึ่งมีความหลากหลายทางอุตสาหกรรม ครอบคลุมทั้งเทคโนโลยี การเงิน บริการ การท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงนวัตกรรมด้านสุขภาพ เดินทางมาเยือนประเทศไทยในงาน Techsauce Global Summit โดยเป้าหมายของการมาเยือนครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าการหาลูกค้าหรือคู่ค้าทางธุรกิจทั่วไป แต่เป็นการสร้างเครือข่ายกับนักลงทุน องค์กรภาครัฐ และผู้มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศสตาร์ตอัพของไทย เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือเชิงลึกในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการพัฒนาร่วมกัน (Co-development Projects), การลงทุนร่วม (Co-investment) หรือแม้แต่การใช้ไทยเป็น ตลาดทดสอบ (Market Testing) ก่อนที่จะขยายการลงทุนอย่างเต็มรูปแบบ
บทบาทสองทิศทางนี้ทำให้ฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่มีความพิเศษ คือเป็นทั้ง “ประตูสู่เอเชีย” สำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาทำตลาดในภูมิภาค และในขณะเดียวกันก็เป็น “ฐานส่งออกธุรกิจ” สำหรับบริษัทที่ต้องการเติบโตในเวทีโลก ซึ่งโมเดลดังกล่าวไม่เพียงสร้างการเติบโตร่วมกัน แต่ยังก่อให้เกิด การแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge & Technology Transfer) ที่ประเมินค่าไม่ได้ระหว่างฮ่องกงกับประเทศปลายทาง เปิดโอกาสให้ทั้งบริษัทจากฮ่องกงและพันธมิตรในต่างแดนสามารถเติบโตไปพร้อมกันในตลาดใหม่ ๆ ได้อย่างยั่งยืน
จัดตั้งธุรกิจในฮ่องกง: ง่ายเปิดกว้างและเข้าถึงได้จริง
หนึ่งในแม่เหล็กดึงดูดสำคัญของฮ่องกงคือขั้นตอนการจัดตั้งธุรกิจที่ ง่าย รวดเร็ว และเปิดกว้างที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งช่วยทลายกำแพงและลดความซับซ้อนสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติได้อย่างสิ้นเชิง โดยมีโครงสร้างที่โดดเด่นและขั้นตอนที่ชัดเจนดังนี้
หัวใจสำคัญที่ทำให้ฮ่องกงแตกต่าง คือนโยบายที่เปิดรับการลงทุนจากทั่วโลกอย่างแท้จริง ประการแรก นักลงทุนต่างชาติสามารถ ถือหุ้นในบริษัทได้ 100% โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสัญชาติหรือต้องมีโควตาสำหรับคนท้องถิ่น ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ต้องมีหุ้นส่วนท้องถิ่น (Local Partner) เพื่อร่วมก่อตั้งบริษัท ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจและตัดสินใจได้อย่างเต็มรูปแบบ และที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อบริษัทได้รับการจดทะเบียนแล้ว จะมีสถานะเป็น “นิติบุคคลฮ่องกง” อย่างสมบูรณ์ ทำให้มีสิทธิ์เข้าถึงโครงการสนับสนุน เงินทุน และสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากภาครัฐได้ทัดเทียมกับบริษัทท้องถิ่นทันที
ขั้นตอนการจดทะเบียนที่รวดเร็วและไม่ซับซ้อน กระบวนการจัดตั้งบริษัทในฮ่องกงสามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ผู้ประกอบการสามารถเลือกจดทะเบียนในรูปแบบ บริษัทจำกัด (Private Limited Company) ซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด เนื่องจากช่วยจำกัดความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นไว้แค่เงินลงทุน
โดยทั่วไปขั้นตอนจะเริ่มต้นจากการ เลือกชื่อบริษัทที่ไม่ซ้ำกับบริษัทอื่นในระบบ จากนั้นเตรียมเอกสารสำคัญซึ่งสำหรับชาวต่างชาติจะใช้เพียงสำเนาหนังสือเดินทางและเอกสารยืนยันที่อยู่ (เช่น บิลค่าสาธารณูปโภค) ของกรรมการและผู้ถือหุ้นทุกคน นอกจากนี้ ทุกบริษัทในฮ่องกงจำเป็นต้องมีเลขานุการบริษัท (Company Secretary) ที่มีถิ่นพำนักในฮ่องกง และที่อยู่จดทะเบียน (Registered Address) ที่เป็นที่อยู่จริงในฮ่องกง (ไม่ใช่ตู้ ป.ณ.) ซึ่งบริการทั้งสองส่วนนี้สามารถจัดหาได้จากผู้ให้บริการจดทะเบียนบริษัทมืออาชีพ ทำให้ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องเดินทางไปฮ่องกงหรือมีสำนักงานจริงในช่วงแรก
กระบวนการทั้งหมดสามารถทำผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกและใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินเรื่องได้อย่างราบรื่น เมื่อจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยและได้รับใบสำคัญการจัดตั้งบริษัท (Certificate of Incorporation) แล้วก็สามารถยื่นขอใบทะเบียนธุรกิจ (Business Registration Certificate) และดำเนินการเปิดบัญชีธนาคารเพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้ทันที
ขุมทรัพย์แห่งการสนับสนุน: ระบบนิเวศสตาร์ตอัพที่พร้อมปั้นคุณให้โต
ฮ่องกงได้วางรากฐานระบบสนับสนุนสตาร์ตอัพไว้อย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกขั้นตอนการเติบโต เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่พร้อมให้ผู้ประกอบการเข้าไปตักตวงโดยไม่จำกัดสัญชาติ และที่สำคัญที่สุดคือ เงินทุนสนับสนุนส่วนใหญ่เป็นเงินให้เปล่า (Grant) ที่ไม่ต้องแลกกับหุ้นและไม่ต้องชำระคืน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทุ่มเทกับการพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่
Tech Startups เส้นทางสู่การเติบโตที่ชัดเจน
ระบบนิเวศสำหรับเทคสตาร์ตอัพถูกออกแบบมาเป็นขั้นบันได เพื่อให้การสนับสนุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงของการพัฒนา โดยมีสองหน่วยงานหลักเป็นหัวหอกคือ Hong Kong Science Park (HKSTP) ซึ่งเน้นเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) เช่น ไบโอเทค วิศวกรรมขั้นสูง และเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน และ Cyberport ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น FinTech, E-commerce, AI และ Gaming
ขั้นเริ่มต้น (Ideation Program) สำหรับผู้ที่มีเพียงไอเดียและต้องการตรวจสอบความเป็นไปได้ทางธุรกิจ โปรแกรมนี้จะมอบทุนตั้งต้นประมาณ HK$100,000 (ราว 470,000 บาท) เพื่อใช้ในการจดทะเบียนบริษัท ทำวิจัยตลาด หรือสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) เงินก้อนนี้เปรียบเสมือนทุนตั้งตัวที่ช่วยให้ไอเดียกลายเป็นจริงได้โดยไม่ต้องใช้เงินส่วนตัวมากนัก
ขั้นบ่มเพาะ Incubation Program) เมื่อธุรกิจเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและมีผลิตภัณฑ์ต้นแบบแล้ว (สตาร์ตอัพสามารถเข้าสู่โปรแกรมบ่มเพาะ ซึ่งให้การสนับสนุนที่รอบด้านยิ่งขึ้น ทั้งเงินทุนสูงสุดถึง HK$1.3 ล้าน (ราว 6.1 ล้านบาท) สำหรับการขยายทีม การวิจัยและพัฒนา การตลาด รวมถึงการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ การเข้าถึงเครือข่ายพันธมิตรและนักลงทุน และการใช้พื้นที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ขั้นเร่งการเติบโตและขยายสู่สากล (Acceleration & Overseas Expansion) สำหรับสตาร์ตอัพที่พร้อมจะเติบโตแบบก้าวกระโดด รัฐบาลยังสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโปรแกรมเร่งการเติบโต (Accelerator) ระดับโลกอย่าง Y Combinator หรือ Techstars รวมถึงการเข้าร่วมงานแสดงนวัตกรรมในต่างประเทศ เพื่อเปิดประตูสู่ตลาดโลกและเข้าถึงนักลงทุนระดับสากล
Non-Tech /SME): เครื่องมือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
แม้จะไม่ได้เป็นธุรกิจสายเทคโนโลยีโดยตรงแต่ฮ่องกงก็มีเครื่องมือสนับสนุนให้ SME สามารถพัฒนาศักยภาพและขยายตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีเงื่อนไขเบื้องต้นว่าบริษัทต้องดำเนินธุรกิจในฮ่องกงมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี
SME Export Marketing Fund (EMF) กองทุนนี้เปรียบเสมือนแขนขาด้านการตลาด ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบุกตลาดใหม่ ๆ เช่น ค่าเข้าร่วมงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ค่าโฆษณาในสื่อต่างประเทศ หรือค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มุ่งเป้าไปยังลูกค้านอกฮ่องกง
Technology Voucher Programme (TVP) กองทุนนี้ส่งเสริมให้ SME นำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือพัฒนาระบบต่าง ๆ เช่น การติดตั้งระบบ E-commerce ระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) หรือระบบจัดการสต็อกสินค้า เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล
อุตสาหกรรมเด่นและโอกาสสำหรับคนไทย
ระบบนิเวศสตาร์ตอัพของฮ่องกงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 มีสตาร์ตอัพสูงถึง 4,700 แห่ง และที่น่าทึ่งคือ 28% ของผู้ก่อตั้งเป็นชาวต่างชาติ อุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษได้แก่ FinTech ซึ่งได้รับแรงหนุนจากสถานะศูนย์กลางการเงินชั้นนำของเอเชีย ตามมาด้วย E-commerce และ ICT ที่ใช้ความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์เชื่อมต่อจีนแผ่นดินใหญ่ และ Education & Learning ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตไม่หยุด
เมื่อมองไปข้างหน้า อุตสาหกรรมดาวรุ่งที่น่าจับตามีสองกลุ่มหลักคือ Health & Medical ซึ่งความต้องการนวัตกรรมดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ (Mental Wellness) พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และ Green & Sustainable Tech ที่กระแสรักษ์โลกกำลังผลักดันให้เกิดการสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนอย่างเต็มที่
กรณีศึกษาความสำเร็จจากแบรนด์ไทย
ความสำเร็จของธุรกิจไทยในฮ่องกงนั้นมีให้เห็นเป็นรูปธรรมและเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่า หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ Yindi App สตาร์ตอัพจากไทยที่พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อจัดการอาหารส่วนเกินและลดขยะอาหาร หลังจากเริ่มต้นในไทย Yindi ได้ขยายสู่ฮ่องกงและประสบความสำเร็จอย่างงดงามจนกลายเป็นตลาดหลักที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับบริษัท จุดแข็งสำคัญคือความสามารถในการเชื่อมต่อกับพันธมิตรรายใหญ่ในท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการร่วมมือกับ Big C Hong Kong เพื่อเปิดตัวบริการ “Surprise Box” ซึ่งเป็นการนำอาหารและสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาจำหน่ายในราคาพิเศษแทนที่จะต้องทิ้งไปอย่างไร้ค่า ความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะอาหารในฮ่องกงได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่งให้กับทั้งสองแบรนด์ นับเป็นตัวอย่างชั้นยอดของการใช้เครือข่ายและการเชื่อมต่อที่ InvestHK ช่วยอำนวยความสะดวก
อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ Ravipa แบรนด์จิวเวลรีจากไทยซึ่งมีชื่อเสียงด้านการออกแบบเครื่องประดับที่ทันสมัยและมีความหมาย หลังจากเปิดร้านสาขาแรกในฮ่องกงเมื่อเดือนธันวาคมใช้เวลาเพียง 6 เดือนในการขยายสาขาที่สองได้สำเร็จ แสดงให้เห็นถึงการตอบรับอันดีเยี่ยมจากผู้บริโภคชาวฮ่องกงที่มีกำลังซื้อสูง ความสำเร็จที่รวดเร็วนี้ไม่ได้มาจากโชคช่วยแต่เป็นผลมาจากการทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ประกอบกับการปรับกลยุทธ์สินค้าให้สอดคล้องกับรสนิยมของคนท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มของไทยอีกหลายรายที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง เช่น การนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในร้านอาหารเพื่อรับมือกับต้นทุนแรงงานที่สูง หรือการเลือกขยายสาขาไปยังย่านชุมชนที่มีผู้พักอาศัยหนาแน่น แทนที่จะกระจุกตัวอยู่เพียงย่านธุรกิจกลางเมือง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคหลังโควิดที่นิยมใช้บริการใกล้บ้านและพึ่งพาบริการเดลิเวอรี่มากขึ้น
คำแนะนำสำหรับสตาร์ตอัพไทยจาก InvestHK
ลู่ ชินหยงได้ให้คำแนะนำเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการปักธงในฮ่องกงได้ดังนี้
- สร้างความแข็งแกร่งในตลาดบ้านเกิดก่อน: ก่อนจะก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ สตาร์ตอัพต้องพิสูจน์โมเดลธุรกิจของตนเองในประเทศไทยให้สำเร็จเสียก่อน ซึ่งหมายถึงการมีฐานลูกค้าที่มั่นคง มีรายได้ที่ชัดเจน และมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณเป็นที่ต้องการของตลาดจริง เพราะนักลงทุนและพันธมิตรในฮ่องกงต้องการเห็นหลักฐานของความสำเร็จ ไม่ใช่แค่คำมั่นสัญญา
- ปรับโมเดลธุรกิจให้เข้ากับโครงสร้างตลาดฮ่องกง: การยกกลยุทธ์จากไทยไปใช้โดยตรงคือกับดักสำคัญ เนื่องจากฮ่องกงเป็นตลาดที่มีค่าครองชีพและค่าเช่าสูงมาก สตาร์ตอัพจึงจำเป็นต้องปรับตัวโดยใช้ทีมงานขนาดเล็กลง (Lean Team) เลือกใช้สำนักงานหรือพื้นที่ทำงานขนาดกะทัดรัด และพึ่งพาช่องทางดิจิทัลเป็นหลักในการขายและทำการตลาด เพื่อควบคุมต้นทุนแต่ยังคงประสิทธิภาพไว้ได้
- คิดและทำแบบคนท้องถิ่น: ความสำเร็จในตลาดใหม่ขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง ผู้ประกอบการต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคชาวฮ่องกงที่อาจมีความเร่งรีบ ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและประสิทธิภาพ รวมถึงศึกษารสนิยมเฉพาะตัว เพื่อปรับผลิตภัณฑ์ บริการ และการสื่อสารการตลาดให้ตรงใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ไม่ใช่แค่สินค้าจากต่างประเทศ
- ไม่ท้อเมื่อเจออุปสรรคและพร้อมปรับตัวเสมอ: การเข้าสู่ตลาดใหม่ย่อมมีความท้าทายและอาจพบความล้มเหลวในช่วงแรก สิ่งสำคัญคือต้องมีทัศนคติที่พร้อมจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาด ยอมรับฟีดแบค และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Pivot) ความยืดหยุ่นคือหัวใจของการเอาตัวรอดและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
- สร้างเครือข่ายพันธมิตรคือหัวใจ: อย่ามองผู้เล่นรายอื่นเป็นคู่แข่งเสมอไป แต่ควรมองหาโอกาสในการร่วมมือกัน เช่น การเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีเพื่อเสริมบริการซึ่งกันและกัน หรือการร่วมทำการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า การสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งจะช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดได้เร็วกว่าและมั่นคงกว่าการลุยเดี่ยว
เริ่มต้นจากการเข้าร่วมงานอีเวนต์ใหญ่ในฮ่องกง ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเต็มตัว ลู่ ชินหยงแนะนำให้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อเข้าร่วมงานอีเวนต์สำคัญ เช่น StartmeupHK Festival หรือ Hong Kong FinTech Week การทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการชิมลางเพื่อทำความเข้าใจระบบนิเวศ สร้างคอนเนกชันเบื้องต้น และรับฟังความคิดเห็นจากคนในวงการ ซึ่งจะช่วยให้ตัดสินใจก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยง
เปิดใจแบ่งปันไอเดียเพื่อสร้างโอกาส ผู้ประกอบการบางรายอาจกลัวที่จะเปิดเผยไอเดียเพราะกลัวการลอกเลียนแบบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไอเดียเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งสำคัญกว่าคือการลงมือทำ การเปิดใจแบ่งปันแนวคิดในวงกว้างอาจนำมาซึ่งข้อเสนอแนะที่ล้ำค่า การได้พบเจอผู้ร่วมก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน หรือแม้แต่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนที่มองเห็นศักยภาพและพร้อมจะช่วยให้ไอเดียของคุณกลายเป็นจริงขึ้นมาได้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วิธีคิดแบบ Flash Express: สร้างธุรกิจโตเร็วด้วย ‘จังหวะ’ และ ‘เทคโนโลยี’
‘GoTrade’ เมื่อยักษ์ใหญ่โลจิสติกส์ ลงมาแก้โจทย์ SME ไทยในสนามรบโลก




