Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

‘Jeffrey Char’ บทเรียน 9 ล้านเหรียญและ Passion เปลี่ยนโลก

'Jeffrey Char' บทเรียน 9 ล้านเหรียญและ Passion เปลี่ยนโลก

จากวาณิชธนากร สู่ทนายความ จากผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัพที่ประสบความสำเร็จ สู่เจ้าของธุรกิจที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และจากคนที่เกลียดบริษัทพลังงานเข้าไส้ สู่ผู้สร้างนวัตกรรมให้บริษัทนั้นเสียเอง ชีวิตของ Jeffrey Char, Founder & CEO, SOGO Energy และศาสตราจารย์พิเศษที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) คือภาพแทนของการ “สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่” ครั้งแล้วครั้งเล่า บนเส้นทางเกือบ 3 ทศวรรษที่เต็มไปด้วยการตัดสินใจที่หักมุม บทเรียนราคาแพง และการเดินทางตามหา Passion ที่แท้จริง เรื่องราวของเขาไม่ได้เป็นเพียงตำราความสำเร็จ แต่เป็นบันทึกการเดินทางของชายผู้ไม่เคยหยุดเรียนรู้และไม่เคยหยุดสร้าง

Jeffrey Char บรรยายหัวข้อ “The Lifelong Passion of Building and Making a Difference: A Serial Entrepreneur’s Journey” ภายในงาน SaaS Connect Thailand 2025 ที่จัดขึ้นล่าสุด

จุดเริ่มต้น: จากความฝัน สู่การลาออกครั้งประวัติศาสตร์

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากภาพจำในวัยเด็ก เมื่อเขาในฐานะลูกชายทนายความมีโอกาสติดตามพ่อไปพบลูกค้านักธุรกิจคนหนึ่งที่เจ๋งมาก เขาไม่ได้อยากเป็นทนายเหมือนพ่อ แต่อยากเป็น “ผู้ชายคนนั้น” เขามีความฝันอันเลือนรางว่า วันหนึ่งจะต้องก่อตั้งบริษัทของตัวเองและมีของเล่นเยอะ ๆ ให้ได้ แต่ในยุค 80 ที่โลกของสตาร์ตอัพยังเป็นกล่องดำและไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ค้นคว้าข้อมูลได้ง่ายดายเหมือนทุกวันนี้ เขาจึงต้องออกแบบเส้นทางเรียนรู้ของตัวเอง งานแรกของเขาในธนาคารเพื่อการลงทุนของญี่ปุ่น คือใบเบิกทางให้เขาได้ตั้งคำถามกับผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจโมเดลธุรกิจให้ถ่องแท้

โชคชะตาพาเขาเข้าสู่วงการ Venture Capital โดยบังเอิญ เมื่อบริษัทสตาร์ตอัพในซิลิคอนแวลลีย์ต้องการระดมทุน แต่ทีม VC ของธนาคารกลับไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษ เขาจึงถูกดึงตัวไปช่วย แต่แล้วเขาก็พบว่าอุปสรรคไม่ใช่แค่ภาษา แต่เป็นศัพท์แสงทางกฎหมายที่เขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เขาเปลี่ยนแผนจากการเรียนต่อ MBA ไปเป็นการเรียนกฎหมายแทน ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนคือ เรียนเพื่อก่อตั้งบริษัท ระดมทุน และปิดดีลให้เป็น

ประสบการณ์จากการเป็นทนายความพาเขาไปสู่จุดสูงสุดในยุคนั้น คือการได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำบริษัท Netscape เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1995 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จุดประกายยุคดอทคอม

ทว่า จุดเปลี่ยนที่แท้จริงกลับมาจากวิกฤติส่วนตัว เขารู้สึกหมดไฟกับการเป็นทนาย และแล้วในช่วงคริสต์มาสปี 1996 ข่าวร้ายก็มาเยือน เมื่อพ่อตาของเขาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขาควรจะขอย้ายกลับไปโตเกียว แต่กลับลงเอยด้วยการทะเลาะกับที่ทำงาน และตัดสินใจลาออกทั้งที่ยังไม่มีงานรองรับ

ระหว่างที่เดินสายบอกลาลูกความ เขาได้นั่งคุยกับลูกความคนหนึ่งซึ่งเป็นแฮกเกอร์ในบาร์ และจากวงสนทนานั้นเอง ทั้งสองก็ตัดสินใจเริ่มต้นบริษัทด้วยกัน การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นอย่างหุนหันพลันแล่น จนเขาต้องโทรไปแจ้งข่าวกับครอบครัวในช่วงวันหยุดปีใหม่ “ผมบอกภรรยาให้ส่งโทรศัพท์ให้พ่อตา แล้วบอกท่านว่า ‘พ่อครับ ผมตั้งบริษัทแล้ว’” เขายอมรับว่าเป็นการกระทำที่ไม่ได้ปรึกษาภรรยาเลยแม้แต่น้อย และสิ่งที่สะท้อนกลับมาจากพ่อแม่ของเขาก็คือประโยคที่ว่า “อ้อ สรุปว่าลูกตกงานสินะ” แม้จะพยายามอธิบายถึงโอกาสทางธุรกิจอันสวยหรูเพียงใด ปลายสายก็ยังคงได้ยินเพียงคำว่า “ตกงาน” เท่านั้น

บทเรียนราคาแพงจากสนามจริง

ตลอด 28 ปีของการสร้างและขายบริษัทมานับไม่ถ้วน เขาได้กลั่นประสบการณ์ออกมาเป็นบทเรียนหลายประการ บทเรียนแรก คือการเปลี่ยนแนวคิดจากการพยายามเจาะตลาดใหญ่ มาเป็นการโฟกัสอย่างเฉียบคมไปที่ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และค้นหา Early Adopter ที่มีความเจ็บปวดกับปัญหา (Pain Point) มากและเร่งด่วนที่สุด “เพราะคนกลุ่มนี้คือผู้ที่จะยอมสละเวลาสอนเราเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขาอย่างแท้จริง”

เขาเล่าถึงประสบการณ์ตั้งบริษัท SEO แห่งแรกในญี่ปุ่น ที่เริ่มต้นจากการสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาใช้เอง แต่เมื่อพยายามนำไปขายเป็นซอฟต์แวร์ กลับไม่มีใครซื้อเลยแม้แต่รายเดียว ด้วยความจนตรอกเขาจึงพิสูจน์ด้วยการนำเว็บไซต์ของเพื่อนมาปรับให้ฟรีจนติดอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง แต่เมื่อกลับไปเสนอขายซอฟต์แวร์อีกครั้ง เพื่อนกลับบอกว่า “ไม่เอาซอฟต์แวร์แต่อยากจ้างคุณทำให้เลย “วินาทีนั้นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาคือบริษัทบริการ และทันทีที่ปรับโมเดล ธุรกิจก็เติบโตแบบก้าวกระโดด

บทเรียนที่สองซึ่งเจ็บปวดและมีราคาสูงที่สุด คือการแยกแยะระหว่าง “ลูกค้า” ผู้จ่ายเงิน กับ “ผู้ใช้” ให้ขาด ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ทำให้เขาเผาเงินไปถึง 9 ล้านดอลลาร์กับธุรกิจคูปองส่วนลด

เขาเล่าว่าทีมงานเข้าใจผิด คิดว่าลูกค้าคือคนที่ซื้อคูปอง แต่ในความเป็นจริงลูกค้าตัวจริงคือ “ร้านค้า” ที่เป็นผู้มอบส่วนลดและจ่ายค่าคอมมิชชันให้พวกเขา การมุ่งเอาใจแต่ฝั่งผู้ซื้อคูปอง ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ที่นำ ลูกค้าที่แย่ที่สุดไปให้กับร้านค้า เพราะเป็นกลุ่มคนที่มาใช้บริการแค่ครั้งเดียวเพื่อส่วนลดแล้วไม่กลับมาอีกเลย

การเติบโตอย่างรวดเร็วสู่รายได้ 1 ล้านดอลลาร์และพนักงาน 120 คนในเวลาไม่ถึงปี สุดท้ายก็จบลงด้วยการระเบิดตัวเอง บทเรียนราคา 9 ล้านดอลลาร์นี้สอนเขาว่า “อย่าเติบโตอย่างรวดเร็วเพียงเพื่อการเติบโต”

และบทเรียนสุดท้าย คือคำเตือนถึงความเย้ายวนของการเป็นพันธมิตรกับบริษัทยักษ์ใหญ่ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ซึ่งเขามองว่าเป็น “กับดักมรณะ”

สำหรับสตาร์ตอัพ เขาชี้ว่าแม้จะดูดี แต่บริษัทใหญ่จะทำให้คุณช้าลง ทำให้ไขว้เขว และผลาญเวลาซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของคุณไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาแนะนำอย่างหนักแน่นว่าสตาร์ตอัพควรจะสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งและมี Traction ที่ชัดเจนด้วยตัวเองก่อน อย่าเพิ่งวิ่งหาพาร์ทเนอร์รายใหญ่จนกว่าจะพร้อมจริง ๆ เพราะถึงตอนนั้น พวกเขาจะเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาคุณเอง

“พลังพิเศษ” และ “ทางอ้อม” ที่หล่อหลอมตัวตน

เมื่อถูกถามถึงเคล็ดลับความสำเร็จ Jeffrey Char ค้นพบว่า “พลังพิเศษ” ที่แท้จริงของเขาคือการสร้างทีม เขาใช้วิธีที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่าง “มื้อค่ำซูชิ” เพื่อเฟ้นหาทีมงานที่มี Passion จริง ๆ

เขาเล่าติดตลกว่าน่าจะซื้อร้านซูชิไปเลยเพราะใช้เงินไปกับมันเยอะมาก เวลาเกิดไอเดียธุรกิจใหม่ เขาจะชวนคนที่เกี่ยวข้องในแวดวงนั้นมาทานอาหารเย็นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จากมื้อค่ำในคืนวันศุกร์ ก็เริ่มมีการชวนคนอื่น ๆ เพิ่มขึ้น จนลามไปสู่การนัดเจอกันในวันเสาร์เพื่อลงมือทำงานร่วมกัน คนที่ยอมสละเวลาส่วนตัวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่เพราะอาหารฟรีหรือคำสัญญาเรื่องเงินเดือน แต่คือคนที่มีความปรารถนาจะแก้ปัญหานั้นจริง ๆ และนี่คือวิธีที่เขาคัดกรองและสร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมา

นอกจากนี้ ชีวิตของเขายังเต็มไปด้วย “ทางอ้อม” ที่ดูเหมือนจะนอกลู่นอกทาง แต่กลับกลายเป็นโอกาสสำคัญ เขาเคยหวนคืนสู่วงการวาณิชธนกิจในปี 2005 ซึ่งภารกิจที่คิดว่าจะทำแค่ปีเดียวกลับยาวนานถึงสี่ปี แต่ช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้เขาตกตะกอนความคิดเรื่องการปฏิวัติวงการธนาคารและนำไปสู่การสร้างธุรกิจ Peer-to-Peer Lending ในเวลาต่อมา

ทางอ้อมครั้งสำคัญอีกครั้งคือการตัดสินใจไปร่วมงานกับ Tokyo Electric (TEPCO) บริษัทที่เขาเกลียดเข้าไส้จากการเป็นต้นเหตุของภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เขาถูกทาบทามหลังจากไปวิจารณ์บริษัทอย่างเผ็ดร้อน และเป็นภรรยาของเขาที่ให้สติว่า “คุณเกลียดพวกเขา แต่พวกเขาจะจ่ายเงินให้คุณไปทำงานเพื่อสู้กับพวกเขาเนี่ยนะ ว้าว คุณควรรับงานนี้เลย” สามปีที่ TEPCO จึงเปรียบเสมือนการได้ทุนไปเรียนรู้โลกพลังงานอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เขาก่อตั้งบริษัทพลังงานของตัวเองในที่สุด

จากยุค AI สู่ Passion สุดท้าย: พลังงานเพื่อผู้คน

ในช่วงท้ายของการบรรยาย เจฟฟรี่ได้ชี้ให้เห็นความท้าทายและโอกาสในยุคปัจจุบัน เขามองว่า AI เป็นทั้งเครื่องมือที่เร่งกระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์จากไอเดียให้เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน และในขณะเดียวกันก็เป็นภัยคุกคามที่น่ากังวล

เขาตั้งคำถามสำคัญถึงเหล่าผู้ประกอบการ SaaS ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อลูกค้าองค์กรของคุณใช้ AI จนทีมงานเล็กลง? โมเดลธุรกิจแบบขายตามจำนวนผู้ใช้ (per-seat) จะทำอย่างไร? แล้วใครจะเป็นคนผลักดันให้องค์กรซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ หากคนในแผนกนั้น ๆ เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน” เขาชี้ว่าคำตอบที่ชัดเจนอาจจะยังไม่มี แต่สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องพร้อมที่จะ “สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ (Reinvent)” อยู่เสมอ

ท่ามกลางความผันผวนนี้ เจฟฟรี่แนะนำว่าการจะสร้างธุรกิจให้ยั่งยืนได้ต้องมี “ความทนทาน (Durability)” เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งประกอบด้วยการมี ข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ (Proprietary Data) เพื่อสร้างความได้เปรียบ การสร้าง ความไว้วางใจในแบรนด์ (Brand Trust) และที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบธุรกิจให้มี Network Effects ซึ่งหมายถึงการที่ลูกค้าใหม่ทุกคนที่เข้ามาใช้บริการ จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าเดิมที่มีอยู่แล้ว เขาย้ำว่านี่คือปราการป้องกันทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนที่สุดในระยะยาว

Passion ทั้งหมดนี้ได้ถูกหลอมรวมและผลักดันออกมาเป็นสองบริษัทสุดท้ายในชีวิตการเป็นผู้ประกอบการของเขา บริษัทแรกคือ TRENDE Inc. ในญี่ปุ่น ซึ่งมีความฝันอันยิ่งใหญ่ในการสร้าง “Internet of Energy” เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับที่ Netscape เคยเข้ามาปฏิวัติวงการโทรคมนาคมจากระบบปิดสู่ระบบเปิด TRENDE Inc. ก็ตั้งเป้าหมายที่จะทำเช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมพลังงาน เพื่อให้คนทั่วไปสามารถซื้อขายพลังงานสะอาดกันเองได้อย่างอิสระ

ขณะเดียวกัน บริษัทล่าสุดของเขาคือ SOGO Energy ที่ดำเนินธุรกิจในกัมพูชาด้วยโมเดลที่ชาญฉลาดและสร้างสรรค์อย่างยิ่ง แทนที่จะขายไฟฟ้าโดยตรงซึ่งติดข้อจำกัดของภาครัฐ เขาเลือกที่จะใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่ผลิตได้ไปขับเคลื่อนปั๊มน้ำเพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำไปขายให้กับชาวนาในพื้นที่ห่างไกล เขาไม่ได้ขาย “ความยั่งยืน” แต่ขายโซลูชันที่ “ถูกกว่าและง่ายกว่า” การใช้น้ำมันดีเซลที่ทั้งแพงและสกปรก นี่คือตัวอย่างของการมองปัญหาและสร้างคุณค่าที่ตอบโจทย์ผู้คนอย่างแท้จริง

เรื่องราวของ Jeffrey Char คือบทพิสูจน์ว่าเส้นทางของผู้ประกอบการนั้นคือการเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างสรรค์อย่างไม่หยุดนิ่ง จากเด็กหนุ่มที่ฝันอยากมี “ของเล่นเยอะ ๆ” สู่การเป็นนักสร้างธุรกิจผู้ล้มลุกคลุกคลาน และปิดท้ายด้วยการอุทิศช่วงสุดท้ายของอาชีพเพื่อสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนให้กับโลกและผู้คนอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘Energy Symphonics’ กลยุทธ์บ้านปู รับมืออนาคตพลังงานยุค AI

ทเรียน CEO แห่ง Omoo และ Easy Digital: กลยุทธ์ปั้น SaaS ให้รอดและรุ่ง

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน