Share on

[seed_social]

วิจัยชี้ข้าวไทยติดกับดัก: เผาแกลบได้ ‘Green’ แต่สอบตก ‘Circular’

วิจัยชี้ข้าวไทยติดกับดัก: เผาแกลบได้ 'Green' แต่สอบตก 'Circular'

ภายใต้ฉากหน้าของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านเกษตรกรรมและเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่มุ่งหวังยกระดับการหมุนเวียนทรัพยากรให้ถึงร้อยละ 10 ภายในปี 2570 มีความจริงเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปในผืนนาและโรงสี ข้อมูลล่าสุดจากการศึกษาวิจัยเชิงลึกได้เปิดเผย “จุดตาย” และ “โอกาส” ที่น่าสนใจ โดยชี้ให้เห็นว่าโมเดลการจัดการของเสียที่เราเคยภาคภูมิใจอย่างการนำไปผลิตไฟฟ้า อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในสายตาของมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก และเผยให้เห็นความย้อนแย้งระหว่างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกับการหมุนเวียนทรัพยากร

รศ.ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (VGREEN) คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปิดเผยรายงานผลการประเมินวัสดุหมุนเวียน (Circular Material Assessment) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกตลอดห่วงโซ่อุปทานข้าวไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และนำเสนอทางรอดใหม่ที่แม่นยำด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์

เปิดขุมทรัพย์ในนาข้าว: เราเหลือทิ้งเท่าไหร่กันแน่?

จากการทำ การวิเคราะห์การไหลของวัสดุ (Material Flow Analysis: MFA) ในปีการเพาะปลูก 2566/2567 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 69 ล้านไร่ทั่วประเทศ พบว่าศักยภาพการผลิตของไทยมีความมหาศาล โดยสามารถผลิตข้าวเปลือกได้ถึง 32.6 ล้านตัน

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าผลผลิตหลัก คือปริมาณ “วัสดุเหลือใช้” ที่เกิดขึ้นมหาศาลในระบบ ทั้งฟางข้าว (Rice Straw) ที่มีปริมาณสูงถึง 25 ล้านตัน ตอซัง (Stubble) อีกกว่า 17 ล้านตัน และแกลบ (Rice Husk) ที่เกิดจากกระบวนการสีข้าวอีก 5 ล้านตัน รวมแล้วเรามีชีวมวลเหล่านี้กว่า 52 ล้านตัน ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ คำถามสำคัญที่งานวิจัยนี้ตั้งขึ้นคือ เราจัดการกับภูเขาทรัพยากรเหล่านี้อย่างไร และมันหมุนเวียนจริงตามหลักสากลหรือไม่

ถอดรหัสกับดัก MCI: ความย้อนแย้งระหว่าง“Green” กับ“Circular”

ไฮไลต์สำคัญของงานวิจัยชิ้นนี้ คือการนำเกณฑ์วัดระดับโลกอย่าง Material Circularity Indicator (MCI) ของมูลนิธิ Ellen MacArthur Foundation มาจับวัดประสิทธิภาพ ค่า MCI นี้มีคะแนนเต็ม 1.00 (หมุนเวียนสมบูรณ์) และ 0 (ไม่หมุนเวียนหรือทิ้งเป็นขยะ) ผลลัพธ์ที่ได้สร้างความประหลาดใจและสั่นสะเทือนความเชื่อเดิม โดยเฉพาะ แกลบ (Husk) ที่ได้ค่า MCI เพียง 0.36 ในขณะที่ฟางข้าว (Straw) อยู่ที่ 0.46 และตอซัง (Stubble) อยู่ที่ 0.48

ตัวเลขที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของแกลบ ทั้งที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์เกือบ 100% สะท้อนความย้อนแย้งเชิงนโยบายที่สำคัญระหว่างคำว่า “Green” กับ “Circular” ในขณะที่การนำแกลบไปผลิตไฟฟ้าชีวมวลถือเป็นเรื่องดีในมุมของพลังงานสีเขียว (Green) เพราะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและลดคาร์บอน แต่ในมุมของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) กลับได้คะแนนต่ำ สาเหตุเพราะหลักการสากลมองว่า การเผาเพื่อพลังงาน (Energy Recovery) เป็นเพียงทางเลือกสุดท้าย (Last Resort) ก่อนการฝังกลบเท่านั้น เพราะเป็นการทำลายโครงสร้างวัสดุให้หายไปจากระบบ (Loss) ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก ต่างจากการนำไปรีไซเคิลหรือแปรรูปที่ยังคงเนื้อวัสดุไว้ได้

ความแข็งแกร่งของ “Food Loop”: ข้าวหักและรำข้าวไปไหน?

ในขณะที่การจัดการของเสีย (Waste Loop) ยังมีปัญหา แต่ในฝั่งของห่วงโซ่อาหาร (Food Loop) กลับพบว่าไทยมีความแข็งแกร่งมาก งานวิจัยได้เจาะลึกเส้นทางของผลผลิตย่อยอย่างละเอียด พบว่า ข้าวหัก (Broken Rice) หรือปลายข้าว ถูกจัดสรรปันส่วนเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปอย่างเป็นระบบและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ดีเยี่ยม โดยร้อยละ 30 ถูกนำไปผลิตเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ร้อยละ 35 แปรรูปเป็นแป้งข้าวเจ้า ร้อยละ 20 ผลิตเส้นหมี่ และอีกร้อยละ 15 เข้าสู่โรงงานแปรรูปอาหารอื่น ๆ

เช่นเดียวกับ รำข้าว (Bran) ที่ร้อยละ 60 ถูกดึงไปสกัดเป็นน้ำมันรำข้าวเพื่อบริโภค ซึ่งกากที่เหลือยังถูกส่งต่อไปทำอาหารสัตว์ได้อีกทอดหนึ่ง ส่วนอีกร้อยละ 40 ถูกนำไปทำอาหารสัตว์โดยตรง ข้อมูลชุดนี้ยืนยันว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทยมีประสิทธิภาพในการหมุนเวียนสูงมาก แต่โจทย์ใหญ่ยังคงตกอยู่ที่วัสดุเหลือทิ้งในส่วนที่ไม่ใช่อาหาร

ระบบปลูกข้าวชี้ชะตาความยั่งยืน: อินทรีย์ทฤษฎีใหม่และเคมี

อีกหนึ่งข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจคือ “วิธีการปลูก” ส่งผลโดยตรงต่อค่าความหมุนเวียน (MCI) ของผลผลิต งานวิจัยได้เปรียบเทียบค่า MCI ของข้าวเปลือกที่ปลูกด้วยระบบต่าง ๆ พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ โดย ข้าวเกษตรอินทรีย์ (Organic Rice)ครองแชมป์ความยั่งยืนด้วยค่า MCI สูงถึง 0.95 เนื่องจากมีการหมุนเวียนปัจจัยการผลิตภายในฟาร์มสูงมาก แทบไม่มีการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากภายนอก

ที่น่าสนใจคือ เกษตรทฤษฎีใหม่ (New Theory Agriculture) ซึ่งเป็นโมเดลตามแนวพระราชดำริ มีค่า MCI อยู่ที่ 0.75 ใกล้เคียงกับเกษตรผสมผสาน ซึ่งสูงกว่าการทำนาแบบทั่วไป (Conventional/Chemical) เล็กน้อย โดยการทำนาแบบใช้สารเคมีทั่วไปมีค่า MCI ต่ำที่สุดในช่วง 0.70-0.75 สาเหตุหลักมาจากการพึ่งพาปุ๋ยเคมีและสารเคมีจากภายนอกสูง ซึ่งถือเป็นทรัพยากรใหม่ (Virgin Material) ที่ไหลเข้าสู่ระบบ ทำให้ค่าความหมุนเวียนลดต่ำลง

บทสรุปและทางออก: ยกระดับสู่ High Value Product

ผลวิจัยนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า หากประเทศไทยต้องการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางและบรรลุเป้าหมาย Circular Economy อย่างแท้จริง ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการมุ่งเน้นแค่การกำจัดของเสียด้วยการเผา ไปสู่การสร้างนวัตกรรมมูลค่าสูง (High Value Product)

เราต้องเริ่มมองหาเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยน ฟางข้าว ให้เป็นเยื่อกระดาษบรรจุภัณฑ์ หรือสารชีวเคมี และเปลี่ยน แกลบ ให้เป็นซิลิกาบริสุทธิ์สำหรับอุตสาหกรรมยาหรือแบตเตอรี่ การขยับจาก Energy Recovery ไปสู่ Material Recovery ตามลำดับชั้นการใช้ประโยชน์ (Cascading Use) จะไม่เพียงช่วยเพิ่มค่าดัชนี MCI ให้สูงขึ้นตามมาตรฐานโลก แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่แท้จริงและยั่งยืนกว่าเดิม

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เทรนด์ปี 2026: ยุค Agentic AI และโอกาสข้อมูลไทยในเวทีโลก

Bitkub ร่วมมือกับ Avantis รุกตลาด Web3 ส่งเสริมความรู้บล็อกเชนและ DEX

ผู้เขียน