Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

สภาอุตฯ ชู ‘End of Waste’ เปลี่ยนขยะเป็นทอง

สภาอุตฯ ชู ‘End of Waste’ เปลี่ยนขยะเป็นทอง

คลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงที่โหมกระหน่ำภาคเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนมหาศาลต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการทั่วโลก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หรือ The Federation of Thai Industries (FTI) ในฐานะแกนนำภาคเอกชน ตระหนักดีว่าการเดินหน้าด้วยยุทธศาสตร์เดิมที่เน้นเพียงตัวเลขผลกำไรและการผลิตเพื่อการส่งออกเพียงมิติเดียว ไม่สามารถตอบโจทย์ความอยู่รอดในระยะยาวได้อีกต่อไป 

นำพล ลิ้มประเสริฐ รองประธานสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงได้เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์และทิศทางใหม่ของภาคอุตสาหกรรมไทย ที่กำลังเร่งเครื่องมุ่งหน้าสู่ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้ธุรกิจไทยสามารถยืนหยัดและแข่งขันได้ภายใต้กติกาโลกใหม่

ผ่าทางตัน 4 มรสุมเศรษฐกิจโลก: จุดเปลี่ยนที่เลี่ยงไม่ได้

คุณนำพล ได้อธิบายถึงสถานการณ์ความกดดันมหาศาลที่เปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ 4 ลูกที่กำลังซัดเข้าหาภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่จำเป็นต้องปรับตัวรับมืออย่างเร่งด่วน

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technology) การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาพลิกโฉมกระบวนการผลิตและการดำเนินธุรกิจ ทำให้รูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี (Trade War & Tech War) ความขัดแย้งของมหาอำนาจที่สร้างความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ทำให้ต้นทุนและการบริหารจัดการมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อเสถียรภาพการค้าและการลงทุน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) วิกฤตการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด ซึ่งนำมาสู่ข้อตกลงและเป้าหมายระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปัจจัยนี้กลายเป็นกติกาการค้าใหม่ที่บีบคั้นให้ผู้ประกอบการไทยต้องลุกขึ้นมาปฏิรูปกระบวนการผลิตขนานใหญ่ หากยังต้องการรักษาที่ยืนในตลาดโลก

ยุทธศาสตร์ 3 เสาหลัก: พยุงฐานเดิม-เสริมฐานใหม่-ใส่ใจโลก

เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ส.อ.ท. ภายใต้นโยบาย “ONE FTI” ได้วางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนที่มีชื่อว่า “Strengthen Thai Industries for Stronger Thailand” หรือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทยเพื่อประเทศไทยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 เสาหลักที่สอดประสานกัน

เสาหลักแรกคือ การประคองอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมกว่า 46 กลุ่ม ที่เป็นรากฐานเศรษฐกิจไทยให้สามารถก้าวผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีนี้ไปได้ โดยใช้พี่ใหญ่ในวงการช่วยประคองน้องเล็กให้เติบโตไปด้วยกัน 

เสาหลักที่สองคือ การเร่งสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) เพื่อสร้าง New S-Curve และขีดความสามารถในการแข่งขันใหม่ให้กับประเทศ 

และเสาหลักที่สาม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดคือ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 หรืออีก 25 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นภารกิจที่รอไม่ได้

End of Waste: ปลดล็อกกฎหมาย เปลี่ยนนิยาม ‘ขยะ’ สู่ ‘วัตถุดิบ’

ในส่วนของการขับเคลื่อนเชิงลึกด้านสิ่งแวดล้อม คุณนำพล ได้เน้นย้ำถึงประเด็น การสิ้นสุดความเป็นของเสีย (End of Waste) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการปลดล็อกระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย โดยสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมฯ กำลังเร่งผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ล้าสมัย เพื่อเปลี่ยนนิยามของสิ่งที่เคยถูกเรียกว่า “ขยะ” หรือกากอุตสาหกรรม ให้มีสถานะเป็น “วัตถุดิบ (Raw Material)” หรือ “ผลิตภัณฑ์พลอยได้ (By-product)”

หลักการสำคัญคือการมองว่าของเสียจากโรงงานหนึ่ง ไม่ใช่ภาระที่ต้องนำไปฝังกลบ แต่สามารถส่งต่อไปเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่มีมูลค่าให้กับอีกโรงงานหนึ่งได้ หากประเทศไทยสามารถปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายนี้ได้ จะทำให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรอย่างสมบูรณ์ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่ และนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการลดขยะฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ได้อย่างแท้จริง

ความท้าทายที่ซ่อนอยู่: เมื่อ ‘ของเสีย’ ไม่เหมือน ‘ของใหม่’ ต้องใช้นวัตกรรมนำทาง

ประเด็นที่น่าสนใจที่คุณนำพลขยายความเพิ่มเติม คือการทำเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่เพียงแค่การขนย้ายขยะไปใช้อีกที่หนึ่ง แต่ต้องอาศัย “นวัตกรรมและการวิจัย (R&D)” อย่างเข้มข้น ท่านได้ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมกระดาษ เพื่อชี้ให้เห็นภาพชัดเจนว่า เยื่อกระดาษที่ได้จากการรีไซเคิลนั้นมีคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (Virgin Pulp) อย่างสิ้นเชิง เช่น เส้นใยอาจสั้นลงหรือความแข็งแรงลดลง

ดังนั้น การจะนำวัสดุรีไซเคิลกลับมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์หรือสินค้าให้ได้คุณภาพดีเท่าเดิม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการปรับปรุงคุณภาพวัสดุ (Material Improvement) นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ภาคอุตสาหกรรมต้องร่วมมือกันก้าวข้าม เพื่อให้วัสดุหมุนเวียนสามารถทดแทนวัตถุดิบธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่การนำมาใช้เพียงเพราะต้องการสร้างภาพลักษณ์รักษ์โลก

ยกระดับผู้กำจัดของเสีย: จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของระบบนิเวศ

นอกจากโรงงานผู้ผลิตต้นทางแล้ว ส.อ.ท. ยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานของผู้รับกำจัดกากอุตสาหกรรม (Waste Processor) ซึ่งเปรียบเสมือนตัวกลางสำคัญในวงจรนี้ โดยได้มีการริเริ่มมาตรฐาน “Eco Factory for Waste Processor” ขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อยกระดับโรงงานรีไซเคิลและกำจัดของเสียให้มีกระบวนการทำงานที่ได้มาตรฐานสากล สามารถแปรรูปของเสียกลับมาเป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพ (Recycled Material) ป้อนกลับเข้าสู่ภาคการผลิตได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งระบบ

Thai Green Directory: ผนึกกำลัง EU Switch Asia สร้างตลาดสีเขียว

ในฝั่งของการสร้างอุปสงค์ (Demand) ส.อ.ท. ได้รับความสนับสนุนจากโครงการ EU Switch Asia ของสหภาพยุโรป ในการพัฒนาเครื่องมือสำคัญคือ “บัญชีรายการสินค้าสีเขียว (Thai Green Directory)” ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมสินค้าและบริการที่ได้รับฉลากสิ่งแวดล้อมมาตรฐานต่าง ๆ กว่า 20 ประเภท มาไว้ในฐานข้อมูลเดียว

เครื่องมือนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความสับสนของผู้บริโภคที่มีต่อฉลากสิ่งแวดล้อมจำนวนมากในตลาด และช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) ของทั้งภาครัฐและเอกชน การมีฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับในระดับสากล จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อสินค้าสีเขียวอย่างแท้จริง และส่งแรงกดดันเชิงบวกย้อนกลับไปยังผู้ผลิต ให้ต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่กระบวนการผลิตที่ยั่งยืน

เปลี่ยนบทบาทจากผู้ใช้ สู่ผู้บริหารจัดการทรัพยากร

การขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย จากเดิมที่เป็นเพียง “ผู้ใช้ทรัพยากร” (Resource User) ให้กลายมาเป็น “ผู้บริหารจัดการทรัพยากร” (Resource Manager) อย่างชาญฉลาด ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบ “Know-How-Do-Act” ที่เน้นการปฏิบัติจริง

การเปลี่ยนมุมมองต่อ “ของเสีย” ให้กลายเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” และการสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น “ทางรอด” เดียวที่จะทำให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สผ. เปิด Roadmap 2580 ดัน ‘รายย่อย’ พลิกไทยสู่ความยั่งยืน

Dow พลิกโฉม ‘พลาสติก’ สู่ฮีโร่กู้โลก

×

Share

ผู้เขียน