TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessKXVC แห่ง KBTG กับภารกิจ Gateway of ASEAN

KXVC แห่ง KBTG กับภารกิจ Gateway of ASEAN

เมื่อเป้าหมายของ KXVC ไม่ใช่การทำกำไรสูงที่สุด แต่เป็นการปูทางก่อร่างสร้างระบบนิเวศประเทศไทยให้เพียบพร้อมเพื่อรองรับกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึง Deep Tech ต่าง ๆ เพื่อให้ไทยก้าวทันและเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่กำลังมาถึงได้ในอนาคต ทั้งในแง่ของการลงทุน การเติบโต และบุคลากร

งานนี้จึงเป็นความท้าทายแต่ก็ตรงกับความต้องการของ กัมปนาท วิมลโนท กรรมการผู้จัดการ KXVC กองทุน Venture Capital มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,500 ล้านบาท) ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหอกผู้นำทีมกองทุน VC นี้ 

จอมในวัย 34 ปี กล่าวว่า ภารกิจหลักของกองทุน KXVC จึงไม่ใช่มุ่งหาโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด แต่เป็นการนำเสนอให้ “ประเทศไทย” เป็นพื้นที่แห่งโอกาสที่จะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโอกาสในการร่วมเป็นพันธมิตรสร้างธุรกิจไปกับ KBTG 

“เราไม่ได้มาเพื่อแข่งขันกับเจ้าที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก คือไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการบอกว่าเราเป็น Gateway of Southeast Asia ซึ่งสิ่งนี้เป็นปรัชญาหลักสำหรับการทำการลงทุนของเรา”

ทั้งนี้ จอมระบุว่า กองทุน KXVC ตั้งขึ้นมาเพราะมองเห็นโอกาสจากกระแสของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นทั่วโลก และต้องการดึงเอาบรรดาบริษัทเทคโนโลยีที่ดีสุดของโลกเหล่านั้นมาอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ เพื่อให้ไทยและภูมิภาคสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีก้าวหน้าเหล่านั้น โดยที่ตัวกองทุน KXVC ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นสะพาน (bridge) ทำให้ ผู้ประกอบการ (entrepreneurs) หรือว่า ผู้ก่อตั้ง (founders) ทั่วโลก ทั้งไทยและต่างประเทศมองเห็นโอกาสใหญ่ (Big Opportunity) ในตลาดที่อัดแน่นไปด้วยคนมากกว่า 600 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับการปลดล็อคใดๆ แห่งนี้ ทั้งด้วยความไม่มีประสิทธิภาพและการเข้าไม่ถึงที่ต้องการโซลูชันทางเทคโนโลยีมาตอบโจทย์และแก้ไข

ถือเป็นโอกาสในการขยายตัวเติบโตทั้งของธุรกิจนั้น ๆ และของตัว KBTG เอง

“Digital Transformation มันผ่านไปแล้ว แล้วต่อจากนี้อะไรอีกล่ะที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการก้าวกระโดดด้านนวัตกรรมหรือทำให้ทุก ๆ อย่างในด้านการทำธุรกิจหรือการใช้ชีวิตมันดีขึ้น เราก็มองว่า Deep Tech ที่เจาะจงไปที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI แล้วก็ตัวบล็อกเชนเป็นหลัก จะทำให้ทั้งคนและธุรกิจดีขึ้นได้”

ขณะเดียวกัน ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาไปเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คำว่าที่ทำงานไม่ได้จำกัดอยู่ที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป เปิดทางให้ Talents ผู้มากความสามารถในการสร้างพัฒนา AI หรือ บล็อกเชนส่วนมากกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งการมีกองทุน KXVC ก็เหมือนกับการประกาศความพร้อมให้ Talents ทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาหาโอกาสการเติบโต ณ ภูมิภาคแห่งนี้ รวมถึงประเทศไทย 

“จากที่เราเห็นแล้วว่านักพัฒนา AI และบล็อกเชนมีกระจายอยู่ทั่วโลก ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องบินออกไปหา แล้วพาเขามาอยู่ที่ประเทศเรา มาทำงานร่วมกับเรา โดยเราเป็นอาจจะเป็นคนช่วยเขาขายของภายในภูมิภาคนี้ หรือเป็นการช่วยเขาร่วมกันสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใส่ความเป็นท้องถิ่นเข้าไปแล้วค่อยขายของ หรือเราเป็นลูกค้าของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไปด้วยเลย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจว่าเราจะตัดสินใจร่วมกันทำงานอย่างไร”

ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์การทำ Venture Capital (VC) มาทั้งหมด 9 ปี บริหารกองมาทั้งหมด 4 กอง คิดเป็นมูลค่าที่ลงทุนไปทั้งหมด 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดีลใหญ่ที่สุดที่เคยทำก็คือ ดีล Grab มูลค่า 705 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รอบ MUFG ลงทุน อีกทั้งยังมี การลงทุน สตาร์ทอัพมา 35 ตัว จอมกล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนของ KXVC นี้ คือ AI, Web3 และ Deep Tech และฟินเทคสตาร์ทอัพ (fintech startups)

“ทุกอย่างเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมที่ทำให้อาจจะมี foundation model ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ทั่วโลก ซึ่งก็รวมถึงการต่อยอดเอาโมเดล machine learning development เอามาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้อีกค่อนข้างมาก ซึ่งเราก็พยายามจับเทรนด์ธุรกิจตรงนี้”

ขณะที่ ในด้านของ Web 3.0 จอมกล่าวว่า KXVC พยายาม go beyound เรื่องของการเทรด การเก็งกำไร ด้วยพบว่าจริงๆ แล้ว บล็อกเชนมันก็มีข้อดีที่สามารถใช้แก้ไขในด้านธุรกิจได้มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการทำข้อมูลให้ถูกต้อง แก้ไขไม่ได้ ซึ่งภายในระยะเวลา 3-5 ปี จอมมองว่าบล็อกเชนก็จะเข้ามาแก้ไขธุรกิจหลายๆ อันโดยที่คนไม่ต้องรู้ว่ามีการใช้บล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง เหมือนที่ทุกวันนี้คนเราใช้ไวไฟโดยไม่รู้ว่ากำลังต้องใช้ไวไฟ 

“เราก็มองว่าถ้าเราเริ่มลงทุน หรือเริ่มเข้าใจตลาดตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อมาถึงจุดที่มันงอกเงย มีการนำเอาเทคโนโลยีที่ว่านี้มาใช้ในวงกว้าง (massive adoption) KBTG และ KXVC จะเป็นตัวที่พา portal เหล่านี้เข้ามาด้วยความรับผิดชอบ โดยไม่ชวนให้คนลงทุนแล้วเก็งกำไร แล้วก็พาเข้าในจุดที่ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ปัจจุบันทีม KXVC มีสมาชิกประมาณ 7 คน แต่ก็กำลังขยายทีมเรื่อยๆ และพยายามปั้นคนในทีมให้เป็นผู้นำใน venture capital funds ได้ รวมถึงตั้งใจใช้แพลตฟอร์มนี้ในการส่งเสริมให้มีอาชีพ VC มากขึ้น มันก็จะเป็นวงเวียนกลับไปที่ทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากขึ้นไปด้วย 

ในส่วนของกลยุทธ์ KXVC จอมระบุว่า KXVC จะเน้นทั่วโลกเป็นหลัก เทคโนโลยีใดๆ อยู่ที่ไหน ก็จะตามไปตรงนั้น  เป็นแบบ agnostic ในเชิงของ geographic เช่น Best entrepreneurs ในเชิงของ AI ส่วนมากก็จะมาจากซานฟรานซิสโก ดังนั้น ประมาณ 70% ของกองทุนไปตรงนั้น อันดับสองรองลงมาก็คือ ลอนดอน และนิวยอร์ก ซึ่งอยู่ในระดับใกล้ๆ กัน ซึ่งก็จะแบ่งเมืองละ 10% ส่วนที่เหลือก็ดูไปที่เอเชียแปซิฟิก เช่น ประเทศจีนกับฮ่องกง รวมถึงอิสราเอล ขณะเดียวกัน ก็ต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการในประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์อีกทางหนึ่งด้วย 

สำหรับในส่วนของ fund of fund จอม กล่าวว่า KXVC คงลงไม่เกิน 20% ที่เหลือ 80% เป็นการลงทุนโดยตรง (direct investment) แล้วก็ลงทุนต่อเนื่อง (follow on)

“หน้าที่ของผมจะเป็น hybrid model คือเป็นทั้ง venture builder และ venture investment”

ด้าน “กระทิง” เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่ม บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ “KBTG” กล่าวถึงการก่อตั้ง KXVC ในครั้งนี้ว่า เพราะเชื่อมั่นในบทบาทและความสำคัญของ AI และ Deep Tech ที่จะมีต่อโลกธุรกิจ ดังนั้นจึงตระหนักว่า การทำแค่ venture build อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องต้องปรับโมเดลให้มีการลงทุนเข้ามาด้วย จึงตั้งเป็นกองทุน KXVC ขึ้นมาด้วยทุนเริ่มต้นประมาณ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐก่อน 

หลังจากได้แนวคิดแล้ว คนแรกที่กระทิงนึกถึงเพื่อให้มาบริหารจัดการกองทุนดังกล่าวก็คือ จอม 

“ในตอนนั้นสำหรับประเทศไทยคนที่เป็นดาวรุ่ง แล้วก็เป็นคนที่สามารถแบกรับและสร้างกองนี้ แล้วโตไปพร้อมกับกองนี้ได้มันมีแค่ไม่กี่คน แล้วก็อย่างที่บอก มันเป็น perfect fit คือทั้งประสบการณ์ที่ค่อนข้างตรง แล้วสองก็คือ ผมคิดว่าและเชื่อว่าสำคัญที่สุดก็คือต้องมีความกระหายเยอะๆ แต่อีกด้านหนึ่งก็คือต้องเหมาะสมลงตัวกับ KBTG ด้วย คือตามวัฒนธรรมของเราที่ One Goal, One Team แล้วทุกอย่างที่ทำต้องเป็น Number One และเราก็วางวิสัยทัศน์ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าต้องเป็น Global Fund ให้ได้ ต้องขึ้น Global stage อย่างรวดเร็ว และ One Step Ahead forever  แล้วจอมก็เป็น team player แล้วก็เป็นคนที่ทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ได้ดีมาก ๆ ต้องเน้น synergy ต้องคุยกับหลายคน”

นอกจากนี้ กระทิง กล่าวว่า จอมยังมีสิ่งที่สำคัญมาก ๆ นั่นคือความพร้อมที่จะแบกรับและเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา 

“จะเห็นว่าเราตั้ง 15 ล้านแล้วขึ้นมากเป็น 100 ล้าน ใช้เวลาประมาณไม่ถึงปี นึกออกไหม แล้วไหนจะยัง approve อีก แล้วทั้งหมดนั้นไม่ง่าย แต่จอมก็ spearhead ได้ แล้วพวกผมเป็นแค่คนคอยซัพพอร์ต หรือ enabler ดังนั้น ผมก็เลยคิดว่าเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น แล้วก็สนุกด้วย แถมจอมยังขยัน และทำงานหนักมากๆ แล้วผมคิดว่าจอมเป็นคน set standard กับตัวเอง และทีมสูงมาก ผมว่าอันนี้คือดีมาก แล้วผมก็คิดว่าเขาเป็นคนที่น่าจะ carry the future ของ VC ประเทศไทยแล้วก็ภูมิภาคด้วย”

สำหรับอนาคตของกองทุน KXVC กับเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระทิงกล่าวว่า น่าจะใช้หมดภายในช่วง 3 ปีนี้ และแน่นอนว่า เมื่อหมดแล้วก็ต้องมีการเติมเพื่อเดินหน้าต่อไปแน่นอน รวมถึงการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของตัว KBTG เอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็น AI First Banking Company

“พูดง่ายๆ ก็คือมันเหมือนจะต้องมีโมเมนต์ที่เราปล่อยตัวผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด แต่อันนี้แหละคือ AI product ของเรา และสองก็คือ มันคือเรื่องของการเอา AI โดยเฉพาะ generative AI มาใช้ในการเพิ่ม productivity ของพนักงาน ซึ่งอันนี้มันก็จะมีสองเรื่องด้วยกัน คือหนึ่ง AI for customers เป็น generative AI for customers or consumers สองก็คือเรื่องของการนำ AI มาใช้ในการ drive productivity ของพนักงานหรือคนใน KBTG หรือ KBank”

ยิ่งไปกว่านั้น กระทิงยังเชื่อมั่นว่า KXVC จะเข้ามาช่วยให้ KBTG มีความแหลมคมมากขึ้นในการลงทุน และช่วยให้มีความหลากหลายในทางเลือกของโซลูชันมากขึ้น 

ขณะที่จอมย้ำว่า นอกจากคอยมองหาโอกาสการลงทุนทั่วโลกแล้ว สิ่งที่ตนเองตั้งใจจะทำคือการเพิ่มมูลค่าให้กับระบบนิเวศในสตาร์ตอัพเมืองไทย กระตุ้นให้สตาร์ทอัพไทยตั้งเป้าการเติบโตไปที่เวทีโลก และพร้อมที่จะแข่งขันกับสตาร์ตอัพทั่วโลกอยู่เสมอ 

“คือก่อนหน้านี้ จอมเคยเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเป็นกรรมการคัดเลือกสตาร์ตอัพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คัดตัวส่งไปที่เกาหลีใต้ คือ K Challenge startups เหตุผลที่เกาหลีใต้เขาทำอย่างนั้นเพราะอะไรรู้ไหมครับ เขาต้องการทำให้ผู้ประกอบการของเกาหลีใต้ แทนที่จะแข่งกันเองอยู่ภายใน ก็ให้เห็นว่า ผู้ประกอบการหรือผู้ก่อตั้งกิจการทั่วโลกที่คัดมาดีที่สุดแล้วมาอยู่ในเกาหลีใต้ 2-3 เดือนมาทำอะไรบ้าง เหมือนกับว่าเอาของดีมาวางให้เห็นต่อหน้าต่อตา แล้วก็แข่งให้เห็นว่าใครดีด้อยตรงไหนอย่างไร ซึ่งต้องยอมรับว่ามันก็มีคนด่าเยอะ แต่ว่ามันก็มีคนที่ได้เรียนรู้จากมันไปเยอะเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยพูด ….คือในเมืองไทยต้องบอกตรง ๆ ว่า มันก็มีผู้ก่อตั้งที่มีคุณภาพค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งที่เป็นข้อเสียก็คือว่าเราอาจจะไม่ได้ think regional as day one เราไม่ได้เห็นว่า the best technology ที่มันทำได้ดีที่สุด มันเป็นอย่างไร”

ทั้งนี้ จอมกล่าวว่า เจ้าตัวอยากจะทำให้ธุรกิจสตาร์ตอัพไทยคงอยู่ sustain ได้ แต่คำว่า คงอยู่ และ sustain ได้ ในโลกของสตาร์ตอัพต่างจากเอสเอ็มอี เพราะมันคือการที่สตาร์ตอัพไทยจะต้องแข่งกับภูมิภาคได้ด้วย โดยสินค้าและบริการในโลกของเทคโนโลยีไม่ใช่ทำมาแล้วใช้ในประเทศไทยอย่างเดียว ทำมาแล้วมันต้องใช้ทุกประเทศได้ 

“อันนี้ก็เป็นสิ่งที่หนึ่งที่พยายามจะค่อย ๆ ให้ความรู้ และโดยส่วนตัวเองก็มีพยายามไป contribute ผ่านตัวแทนภาครัฐ เอเจนซีต่าง ๆ ผมไปเป็นกรรมการคัดเลือกสตาร์ตอัพแทบจะทุกครั้ง แล้วก็เป็น mentor ให้กับสตาร์ตอัพหลาย ๆ เจ้า อะไรที่ทำได้ทำหมดครับ ที่มหาวิทยาลัยเองก็สอน MBA แทบจะทุกมหาวิทยาลัย เกี่ยวกับเรื่องสตาร์ตอัพและ VC เช่นกัน เราก็พยายาม contribute ในส่วนนี้กลับไป ส่วนน้อง ๆ ในทีมหลายคนก็เริ่มที่จะไปสอนหนังสือตามคลาส หรือไปเป็นคณะกรรมการคัดเลือกอยู่บ้างพอสมควรครับ”

ทั้งนี้ KXVC จะโฟกัสไปที่ technology for fund ทั้งหมดเลย KX คือเป็นตัว build, invest และ partner ใน เทคโนโลยีที่จะสร้างความแตกต่างให้กับโลกธุรกิจ เป็นโมเดล VC ใหม่ที่เรียกว่า venture studio ที่มี venture builder แล้วก็ venture capital เพื่อการเป็น Gateway of Southeast Asia region

อศินา สัมภาษณ์
นงษ์ลักษณ์ เรียบเรียง

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ