TH | EN
TH | EN
หน้าแรกStartupNIA เร่งดันไทยสู่ประเทศนวัตกรรม ดึงต่างชาติลงทุนธุรกิจสตาร์ตอัพไทย ตั้งเป้า 5 ปี เกิดการลงทุนกว่าพันล้านเหรียญ

NIA เร่งดันไทยสู่ประเทศนวัตกรรม ดึงต่างชาติลงทุนธุรกิจสตาร์ตอัพไทย ตั้งเป้า 5 ปี เกิดการลงทุนกว่าพันล้านเหรียญ

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เร่งเป้าหมายดันไทยสู่ 30 อันดับแรกชาตินวัตกรรมชั้นนำของโลก พร้อมปลุกกระแสการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพ ผ่านกลยุทธ์หลากรูปแบบ เช่น การอำนวยความสะดวกทางนวัตกรรมให้กับนักลงทุน – ธุรกิจนวัตกรรมจากต่างประเทศ การจัดทำโครงการ Smart Visa ร่วมกับ BOI การจัดตั้งศูนย์กลางสตาร์ตอัพระดับโลก (Global Hub) พร้อมเผยถึง 4 ปัจจัยหลักที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการสานความสัมพันธ์กับประเทศชั้นนำ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เพื่อเสริมทัพความแข็งแกร่งให้กับระบบนวัตกรรมไทย

ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า NIA มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ “ประเทศแห่งนวัตกรรม” และติดอันดับ 1  ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลกภายในปี 2573 จึงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทั้งในสตาร์ตอัพและเอสเอ็มอี พร้อมทั้งเร่งสร้างขีดความสามารถและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมผ่านการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เงินทุน เครือข่าย โครงการสมาร์ทวีซ่าซึ่งเป็นวีซ่าประเภทพิเศษร่วมกับ BOI เพื่อดึงดูดต่างชาติให้มาทำธุรกิจหรือลงทุนในประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังจัดตั้งศูนย์กลางสตาร์ตอัพระดับโลกขึ้นในพื้นที่กรุงเทพ เชียงใหม่ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับให้สตาร์ตอัพหรือนักลุงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยทำกิจกรรมและรับบริการในหลากหลายด้านร่วมกัน เช่น การให้คำปรึกษาด้านการทำธุรกิจ การตลาด กฎหมายและทรัพย์สินทางปัญญา การสร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพและนักลงทุน รวมถึงเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นธุรกิจนวัตกรรม และเป็นเวทีที่จะทำให้นักลงทุนและสตาร์ทอัพได้เจรจาต่อยอดธุรกิจได้อีกด้วย

นักลงทุนและสตาร์ตอัพต่างชาติเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญ ที่จะช่วยผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม ซึ่งในปี 2566 NIA ได้วางแนวทางการดึงดูดสตาร์ตอัพ ผู้ประกอบการ และองค์กรจากต่างชาติให้มาลงทุนทำธุรกิจนวัตกรรมในไทย ด้วยการนำเสนอจุดเด่นของประเทศไทย รวมถึงการมีองค์กรธุรกิจที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีอาหารและสินค้าเกษตรรายใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอยู่ที่ประเทศไทย เช่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด และบริษัทผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกอย่างกลุ่มมิตรผล ซึ่งองค์กรเหล่านี้มีทรัพยากรบุคคลที่พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านอาหารด้วยเทคโนโลยีเชิงลึกจำนวนมาก ส่งผลให้มีสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร ทั้งชาวไทยและต่างชาติมีโอกาสได้รับการสนับสนุนเงินทุนไปแล้วถึงร้อยละ 60 ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนขนาดใหญ่ของไทยมีศักยภาพและความพร้อมที่จะเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรม”

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมของไทยอีกหลายประการ เช่น 1) การมีพื้นที่ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมากกว่า 3 – 4 ล้านตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ทั้งในส่วนกลางอย่างกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล กลุ่มย่านนวัตกรรมที่มีอยู่กว่า 10 ย่านทั่วประเทศ ตลอดจนพื้นที่ตามภูมิภาคที่ปัจจุบันหลายภาคส่วนเริ่มให้ความสนใจในการนำนนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ รวมถึงการจัดตั้งธุรกิจนวัตกรรมโมเดลใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง 2) ความเป็นเมืองที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยและการดำเนินธุรกิจสตาร์ตอัพ สอดรับกับไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ สะดวก รวดเร็ว ความอิสระในการใช้อินเทอร์เน็ต ความบันเทิงจากกิจกรรมหรือเทศกาลที่เกิดขึ้นตลอดปี และมีช่องว่างจากวิถีชีวิตของคนไทยที่เอื้อให้ธุรกิจนวัตกรรมสร้างสรรค์โซลูชันที่คิดค้นหรือพัฒนาเข้าไปสอดแทรกได้ 3) ค่าครองชีพที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับรายได้ของกลุ่มสตาร์ทอัพ – ธุรกิจนวัตกรรมที่เข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหารการกิน ค่าที่อยู่อาศัย ฯลฯ และ 4) ไลฟ์สไตล์ของคนไทย ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวในแต่ละพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด และสามารถนำมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความโดดเด่นได้อย่างลงตัว

“NIA ปรับเปลี่ยนบทบาทจาก “สะพานเชื่อม” สู่ “ผู้อำนวยความสะดวกทางนวัตกรรม” เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มความเข้มแข็งของพื้นที่ รวมถึงพัฒนาศักยภาพและการเติบโตของสตาร์ตอัพและผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมให้สตาร์ตอัพไทยเติบโตในตลาดโลก การสร้างแบรนด์นวัตกรรมของไทยให้เป็นที่รู้จักในสายตาต่างชาติ และผลักดันให้เกิดการลงทุนจากนานาชาติสูงขึ้น

ทั้งนี้ NIA ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 5 ปี (2566 – 2570) จะสามารถสร้างมูลค่าลงทุนธุรกิจนวัตกรรมในไทยได้ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นรูปแบบการร่วมลงทุน ซึ่งมีตัวอย่างจากสตาร์ทอัพไทยที่เคยได้รับการลงทุนจากอิสราเอล โดยหน้าที่หลักของ NIA ก็คือสนับสนุนและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยไปร่วมทำโครงการกับบริษัทที่ได้รับเงินลงทุนจากสำนักงานนวัตกรรมอิสราเอล เพราะฉะนั้นจะไม่ใช่การส่งเสริมแบบเชิญมาตั้งโรงงาน แต่จะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการลงทุนมากกว่า”

นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับอีกหลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะนำสตาร์ตอัพมาร่วมลงทุนด้านนวัตกรรมกับประเทศไทย โดยในวาระครบรอบ 50 ปี ญี่ปุ่น – อาเซียน NIA จะไปเยือนญี่ปุ่นเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของสตาร์ทอัพและองค์กรให้มากขึ้น สำหรับสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะมีการจัดงาน Start Up and Innovation Week ที่กรุงปารีส ซึ่งจะมีบริษัทขนาดใหญ่ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจากหลายประเทศเข้าร่วมแสดงผลงาน โดยประเทศไทยจะนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหาร เทคโนโลยีอวกาศ และงานศิลปะ เป็นไฮไลท์เข้าร่วมโชว์ภายใต้กรอบความร่วมมือไทย – ฝรั่งเศส ทั้งนี้ NIA หวังว่าจะช่วยให้กลุ่มสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุนที่มีความเข้มแข็งเข้ามาทำงานภายใต้ระบบนิเวศนวัตกรรมของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ดร.พันธุ์อาจ กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

บลูบิค ผนึก BE8 รุกเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมจับตลาด Net Zero

NIA จับมือพันธมิตร ร่วมลงทุนในธุรกิจทรายแมวจากมันสำปะหลัง “ไฮด์แอนด์ซีค” ขยายตลาดทาสแมว

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ