TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessJD CENTRAL ตั้งเป้าโตเท่าตัว ย้ำความน่าเชื่อถือ

JD CENTRAL ตั้งเป้าโตเท่าตัว ย้ำความน่าเชื่อถือ

ท่ามกลางวิกฤติการระบาดหลายระลอกของไวรัสโควิด-19 ในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา อี-คอมเมิร์ซถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่หลายฝ่ายยอมรับว่ามีการขยับขยายเติบโตได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับธุรกิจต่าง ๆ ในภาคส่วนอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึง JD CENTRAL อีคอมเมิร์ซน้องใหม่ที่เพิ่งจะบุกเข้ามาในตลาดไทยได้เพียง 3 ปี 

ก่อลาภ สุวัชรังกูร ประธานบริหารฝ่ายการตลาด JD CENTRAL กล่าวกับ The Story Thailand ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซยังมีโอกาสเติบโตและขยายตัวอีกมาก ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าตลาดอีคอมเมิร์ซจะมีการแข่งขันสูง แต่ยอดขายของอี-คอมเมิร์ซทั้งตลาดมีอยู่แค่ 8% เมื่อเทียบกับตลาดค้าปลีกทั้งหมด ขณะที่ในตลาดจีนสัดส่วนตลาด JD.com ที่ประมาณ 30% 

ในฐานะอีคอมเมิร์ซ JD CENTRAL อาจเป็นน้องใหม่ แต่รากฐานสำหรับการเติบโตที่มีอยู่ ทั้งจากการสนับสนุนเงินเทนและองค์ความรู้จากบริษัทแม่ทั้งสอง คือ Central และ JD.com สามารถทำให้ JD CENTRAL กลายเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดอิเล็กทรอนิกส์

ปัญหาสำคัญของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทย คือ พฤติกรรมที่ไม่ยึดติดกับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งของคนไทย งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า 85% ของผู้บริโภคชาวไทยไม่มีความจงรักภักดี (Loyalty) ต่อแบรนด์ คนไทยยินดีที่จะเปลี่ยนแบรนด์ได้ทุกเมื่อ หากว่ามีกิจกรรมส่งเสริมการขาย ทำให้ JD CENTRAL ฉีกกลยุทธ์จากการเน้นการส่งเสริมการขายไปสู่การสร้างความ่าเชื่อถือ (Trust) ซึ่งสำคัญมาก และทำให้ยอดขายของบริษัทเติบโต ในส่วนนี้จะเป็นจุดแข็งที่ทำให้เติบโต

“สาเหตุที่ว่าทำไมการเติบโตของตลาดค้าปลีกออนไลน์จึงมีสัดส่วนไม่ถึง 10% เพราะอีคอมเมิร์ซ ไทยยังคงแข่งขันกันที่เรื่องของราคาอยู่  ลูกค้าไม่มีความภักดี แบรนด์ทำยอดขายได้จำนวนหนึ่ง และช่วงหนึ่งเท่านั้น เราเชื่อว่าความน่าเชื่อถือน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ตรึงให้ลูกค้าอยู่กับแบรนด์ได้ โดยไม่ซื้อสินค้าเพียงแค่เพราะราคาโปรโมชั่น”

JD CENTRAL ตั้งเป้าการเติบโตในปีนี้ให้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 100% ทำให้ตัวเม็ดเงินในการลงทุนที่ตามมาจึงต้องขยายตัวตามไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในแง่ของมาร์เก็ตติ้ง ที่จะมีกิจกรรมทางการตลาดใหม่ ๆ เกิดขึ้น รวมถึงการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจอื่น ๆ ทำให้ผู้บริโภคได้เห็นความแตกต่างของ JD CENTRAL จากหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา 

ปีที่ผ่านมามียอดเติบโต 169% และโตต่อเนื่องในไตรมาสแรกปีนี้ทั้งยอดขายและจำนวนร้านค้าที่เพิ่มขึ้นถึง 129% เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มซื้อสินค้าชิ้นเล็กหรือสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันจาก JD CENTRAL มากขึ้น ซึ่งเดิมบริษัทใช้กลยุทธ์เน้าสินค้าชิ้นใหญ่ ราคาแพง“

เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ที่ผ่านมาของ JD CENTRAL เป็นสินค้าชิ้นใหญ่ราคาสูง มูลค่าในการจ่ายเพื่อซื้อสินค้าใน 1 ครั้ง (Basket Size) ของ JD CENTRAL สูงเป็นอันดับต้น ๆ ในตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย

แม้จะไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบ แต่ JD CENTRAL มีการปรับตัวเพื่อเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดอีคอมเมิร์ซที่ทวีความดุเดือดมากขึ้น 

ปีนี้ที่ต้องการขยายฐานตลาดให้เข้าผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นด้วยการมุ่งเน้น 3 เรื่อง คือ การตลาด การเพิ่มประเภทสินค้า และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด จะยังคงเน้นการสื่อสารเรื่องความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม ซึ่งประสบความสำเร็จดันยอดขายอีคอมเมิร์ซให้ JD CENTRAL มาตลอด 

กลยุทธ์การเลือกสรรจัดประเภทสินค้าให้เข้ามาใน JD CENTRAL ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการเติบโต ช่วงที่คนต้อง Work From Home มีการหาสินค้าที่ตอบโจทย์คนทำงานที่บ้าน อาทิ คอมพิวเตอร์ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องปรับอากาศ พัดลม โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เป็นต้น

กลยุทธ์การสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ JD CENTRAL จะขยายความร่วมมือกับร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) โรงแรม ร้านสปา และร้านอาหาร ให้มาเข้าร่วมกับทาง JD มากขึ้น 

“เรามีการจับมือร่วมกับภาครัฐ แล้วก็ขยายฐานมาช่วยเอสเอ็มอี อย่างชาวสวน เกษตรกร และคนที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปได้ เพราะเรามีบริษัทแม่คือ JD.com จึงมีช่องทางส่งออกของตนเอง อีกทั้งเรายังดึงเอาเอสเอ็มอีในส่วนของบริการ มีร้านอาหาร สปา และโรงแรม เพราะฉะนั้น อัตราการเติบโตของจำนวน SME โตขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงปีที่ผ่านมา”

ความน่าเชื่อถือ ทำให้ JD CENTRAL ขยายตัวเติบโตในตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย กฎเกณฑ์ของ JD CENTRAL ในการคัดกรองสินค้าและพาร์ทเนอร์ แบ่งออก 3 ประเด็นหลัก คือ ระบบ QPS ของผู้ขาย การการันตีของแท้ 100% และเกณฑ์เข้าร่วมที่เข้มงวด

ระบบ QPS คือ คุณภาพ ราคา และบริการ (Quality, Price and Service) ร้านค้าที่เข้ามาอยู่ใน JD CENTRAL จะอยู่ภายใต้ระบบ QPS ทั้งหมด ซึ่งเวลาที่มีการค้นหาบนแพลตฟอร์ม คนที่มีคะแนน QPS ในระดับสูงก็จะได้อยู่บน ๆ 

“เรากล้ารับประกันการันตีของแท้ 100% ถ้าไม่แท้ JD CENTRAL ยินดีคืนเงิน 3 เท่า ทำให้ลูกค้าสามารถมั่นใจและไว้วางใจใน JD CENTRAL ได้”

การเข้าร่วมกับ JD CENTRAL ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบที่เมื่อเปิดแล้วให้คนสมัครเข้ามาได้เลย โดยในขั้นตอนของการสมัครจะมีทีมและระบบในตรวจสอบผู้ค้าที่สมัครเข้ามาว่ามีตัวตนจริงไหม มีประวัติการฉ้อโกงหลอกลวงหรือเปล่า เป็นร้านค้าที่มีหลักฐานในการซื้อขายของแท้แน่นอนหรือไม่

ในส่วนของประเภทของสินค้าที่ขายอยู่ใน JD CENTRAL สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สินค้าที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า (Electronic) และสินค้าที่ไม่ใช่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Non-electronic) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะประกอบด้วย 3CHA ซึ่ง 3C คือคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ (Cellphone) และอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหลาย รวมถึง แท็บเล็ตส์ ส่วน HA คือ Home Appliance หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน หรืออะไรก็ตามที่เคลื่อนที่ไม่ได้และต้องเสียบปลั๊ก เช่น พัดลม ตู้เย็น ทีวี แอร์ เครื่องซักผ้า เครื่องอุ่นผ้า เครื่องฟอกอากาศ 

สินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตของ JD CENTRAL จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนกลุ่ม คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ FMCG และ Health and Beauty

อย่างไรก็ตามสินค้าที่โตเร็วที่สุด และโตมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา คือ สินค้า FMCG หรือ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โดยเฉพาะสินค้าแม่และเด็ก สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงอย่างอาหารสัตว์ และสินค้าในกลุ่ม HBA คือ Health and Beauty (สุขภาพและความงาม) สินค้าความงาม สุขภาพ และวิตามิน ที่เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

นอกจากจะตั้งเป้าให้ธุรกิจของ JD CENTRAL ขยายตัวเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว JD ยังตั้งเป้าที่มีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวม เริ่มจากในส่วนของอุตสาหกรรมค้าปลีก ที่ JD CENTRAL มีแผนอัดแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่าย ผ่านการคัดเลือกสินค้าเข้าสู่แพลตฟอร์ม ดึงร้านค้าที่อยู่ออฟไลน์ให้มาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีช่องทางในการขายมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน JD CENTRAL ยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ในการให้ความรู้เกี่ยวกับการขายสินค้าบนโลกออนไลน์ให้กับทางผู้ค้าที่จะเข้ามาด้วย

นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังจีนและประเทศในเครือข่ายของ JD.com ปีที่ผ่านมาสินค้าส่งออกโต 200% เป็นสินค้า SME เช่น ทุเรียนอบกรอบ ผ้าไหม และสินค้าโอท็อปต่าง ๆ 

ผลการวิจัยพบว่า หลังยุคโควิด-19 สามารถแบ่งประเภทของธุรกิจออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ธุรกิจที่โตช้าโตชะลอ อย่างการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร  ธุรกิจที่โตได้ต่อเนื่อง เช่น ฟู้ดเดลิเวอรีและธุรกิจที่โตแบบก้าวกระโดด เช่น ออนไลน์และดิจิทัล ซึ่งอีคอมเมิร์ซจัดอยู่ในประเภทนี้

ผู้บริโภคส่วนใหญ่เปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออีคอมเมิร์ซ จากทางเลือกที่จะใช้อีคอมเมิร์ซต่อเมื่อสินค้านั้นเป็นของหายาก ซื้อได้ถูกกว่า และสะดวกสบายกว่าในแง่ขนส่ง มาเป็นการมองอีคอมเมิร์ซว่าเป็นพื้นที่ที่สามารถซื้อสินค้าได้หลากหลายประเภทมากขึ้น สินค้าที่ไม่เคยคิดว่าจะซื้อออนไลน์ก็จะสามารถซื้อออนไลน์ได้ โดยได้อานิสงค์จากการที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมอยู่ติดบ้านมากขึ้น แต่ความต้องการในการบริโภคยังเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม อีคอมเมิร์ซ ที่เป็นการจับจ่ายสินค้าเพียงปลายนิ้วคลิกจึงเป็นทางออกมากกว่าทางเลือก

“อย่าเรียกว่ามาทดแทนเลย แต่อีคอมเมิร์ซ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ตลาดเติบโตขึ้นมากกว่า แม้ว่าสินค้าบางประเภท Basket Size จะไม่ใหญ่ แต่ความถี่ในการซื้อซ้ำมันสูงมาก ผมมองว่าการเติบโตของตลาดปีนี้และตัวของ JD CENTRAL เองน่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจ และอยากขอบคุณที่ในช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคให้ JD CENTRAL เป็นหนึ่งทางเลือกที่คนพูดถึงและคนใช้กันมากขึ้น รวมถึงช่วยมอง JD CENTRAL ในฐานะคู่แข่งอีคอมเมิร์ซที่กำลังมาแรงด้วย”

อศินา พรวศิน – สัมภาษณ์
นงลักษณ์ อัจนปัญญา – เรียบเรียง

 

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ