จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแบรนด์ที่ตั้งใจสร้างมาเพื่อเจาะตลาด ‘นักศึกษา’ กลับค้นพบโดยบังเอิญว่าลูกค้าตัวจริงคือ ‘กลุ่มครอบครัวและคนทำงาน’? นี่คือจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ที่พลิกชะตาของ Shinkanzen Sushi (ชินคันเซ็น ซูชิ) จากร้านซูชิยอดนิยมในรั้วมหาวิทยาลัย ให้กลายเป็นเชนร้านอาหารระดับพันล้านที่มีสาขาทั่วประเทศ บนเวที Scale Fast ชนวีร์ หอมเตย ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ ได้มาเปิดเผยเบื้องหลังการเดินทางที่น่าทึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยการเรียนรู้ การปรับตัว และการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้แบรนด์เติบโตเร็วสมชื่อรถไฟหัวกระสุน
ครองตลาดมหาวิทยาลัยด้วยพลัง‘เพื่อนบอกต่อ’
เรื่องราวของ Shinkanzen Sushi ถือกำเนิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมของ ‘คุณชนวีร์’ ในสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาปีที่ 3 แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้จะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่น แต่เขามองเห็น ‘ช่องว่าง’ ทางธุรกิจที่สำคัญในย่านรังสิตซึ่งยังขาดร้านซูชิคุณภาพดี ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจร่วมมือกับเพื่อนที่มีความรู้ด้านการทำซูชิ ประกอบกับความได้เปรียบจากการเป็นนักกิจกรรมซึ่งมีเครือข่ายเพื่อนฝูงที่แข็งแกร่ง ปัจจัยทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้ร้านเล็ก ๆ ที่เริ่มต้นเพียงหนึ่งล็อก ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องขยายพื้นที่อย่างรวดเร็วเป็นสอง สาม และสี่ล็อกในเวลาอันสั้น
หลังจากพิสูจน์โมเดลธุรกิจแรกได้สำเร็จ Shinkanzen Sushi ได้เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จนั้นด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน คือการปักหมุดสาขาต่อไปยังทำเลทองรอบมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นย่านมหาวิทยาลัยกรุงเทพหรือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จซ้ำรอยเดิม ภาพของลูกค้ายืนต่อคิวยาวเหยียดกลายเป็นภาพที่คุ้นตาในทุกสาขาที่เปิดใหม่
“ผมจำได้เลยว่าตอนเปิดสาขาเกษตรศาสตร์ เรามีคิวเป็นร้อยคิว ผู้คนยืนรอจนเต็มหน้าร้าน” คุณชนวีร์เล่าถึงภาพความสำเร็จอันน่าทึ่งในยุคบุกเบิกของแบรนด์
ก้าวข้ามกำแพงมหาวิทยาลัยสู่ Union Mall
ทว่าโมเดลธุรกิจที่พึ่งพิงตลาดมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียวก็เผยให้เห็นจุดอ่อนสำคัญ เมื่อ ‘ช่วงปิดเทอม’ ได้เข้ามาท้าทายเสถียรภาพของยอดขายอย่างจัง วิกฤตการณ์ครั้งนี้เองที่ผลักดันให้คุณชนวีร์ต้องก้าวออกจากพื้นที่คุ้นเคยเพื่อมองหาทำเลแห่งใหม่ และการตัดสินใจที่เปลี่ยนอนาคตของแบรนด์ก็เกิดขึ้นจากป้าย ‘ห้องว่างให้เช่า’ ที่เขาเห็นโดยบังเอิญ ณ ยูเนี่ยนมอลล์
แม้จะได้รับข้อมูลว่าร้านเดิมที่เพิ่งปิดกิจการไปก็คือร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ด้วยความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนักเรียนนักศึกษาที่เดินอยู่ในมอลล์ เขาจึงตัดสินใจเดิมพันกับทำเลแห่งนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมอบบทเรียนครั้งสำคัญที่เหนือความคาดหมาย เพราะนอกจากสาขาจะประสบความสำเร็จอย่างงดงามแล้ว ยังทำให้แบรนด์ได้ค้นพบขุมทรัพย์ใหม่ นั่นคือลูกค้ากลุ่มคนทำงานและครอบครัวซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้มาก การค้นพบนี้ไม่ต่างจากการได้ใบเบิกทางที่ปลดล็อกศักยภาพของแบรนด์ และมอบความกล้าให้ Shinkanzen Sushi ทะยานเข้าสู่ใจกลางเมืองและห้างสรรพสินค้าอื่น ๆ ทั่วประเทศ
สร้าง ‘ครัวกลาง’ วางรากฐานการเติบโตที่มั่นคง
การเติบโตอย่างรวดเร็วเปรียบเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งคือความสำเร็จ แต่อีกด้านคือ “ความเจ็บปวดจากการเติบโต” (Growing Pains) ที่แบรนด์ต้องเผชิญ เมื่อจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น ปัญหาคลาสสิกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือความไม่คงที่ของคุณภาพและรสชาติ ซึ่งสะท้อนผ่านเสียงของลูกค้าโดยตรงว่า “ทำไมรสชาติสาขานี้ ไม่เหมือนกับสาขาแรกที่เคยทาน”
คำถามนั้นกลายเป็นสัญญาณเตือนให้คุณชนวีร์ตระหนักว่า หากแบรนด์จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน การมีเพียงสาขาที่ได้รับความนิยมนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องมีมาตรฐานที่ลูกค้าไว้วางใจได้ในทุกสาขา
ในปี 2018 Shinkanzen Sushi จึงตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่เพื่อสร้าง “ครัวกลาง” ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างกระดูกสันหลังให้กับทั้งองค์กร ที่นี่คือศูนย์กลางในการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบสำคัญ ตั้งแต่การแล่ปลาแซลมอนเดือนละกว่า 10,000 ตัว ไปจนถึงการปรุงซอสและน้ำจิ้มสูตรเฉพาะให้มีรสชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน
“พอทำครัวกลางเสร็จ ปัญหาเรื่องรสชาติอาหารแต่ละสาขาไม่เหมือนกันก็หมดไป” คุณชนวีร์ยืนยันถึงผลลัพธ์ การลงทุนครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การแก้ปัญหา แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคง เพื่อเตรียมความพร้อมให้แบรนด์สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดในขั้นต่อไป
จับมือยักษ์ใหญ่ (CRG) เร่งสปีดทั่วประเทศ
วิกฤตการณ์โควิด-19 ได้กลายเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ที่สั่นคลอนธุรกิจร้านอาหารทั่วประเทศ แต่สำหรับ Shinkanzen Sushi มันกลับเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงขีดจำกัดของการเติบโตด้วยลำแข้งของตัวเอง คุณชนวีร์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ความเหนื่อยล้าจากการบริหารจัดการ 40 กว่าสาขาในช่วงวิกฤติ ทำให้เขาและหุ้นส่วนได้บทสรุปที่ชัดเจนว่า “ถ้าจะไปทั่วประเทศด้วยตัวเอง เหนื่อยตายแน่นอน”
ความตระหนักรู้นี้ นำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด นั่นคือการร่วมทุน (JV) กับ Central Restaurant Group (CRG) ซึ่งเปรียบเสมือนการติดเครื่องยนต์เจ็ตให้กับแบรนด์ที่กำลังทะยานขึ้น การจับมือกับ CRG ไม่ใช่แค่การได้มาซึ่งเงินทุน แต่คือการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งทำเลทองในศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัลและโรบินสันทั่วประเทศ และที่สำคัญคือพลังของคอนเนคชั่นที่เงินไม่สามารถซื้อได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการนำแบรนด์ซูชิสายพานชื่อดังจากญี่ปุ่นอย่าง Katsumidori เข้ามาในไทยได้สำเร็จ ซึ่งเป็นภารกิจที่คุณชนวีร์เคยพยายามทำด้วยตัวเองแล้วล้มเหลว “ญี่ปุ่นเขาไม่คุยกับคนไทยหรอก เขาคุยญี่ปุ่นกับญี่ปุ่น” เขากล่าวถึงพลังของพาร์ทเนอร์ที่เข้ามาเติมเต็มในจุดที่พวกเขาขาดหายไป การร่วมมือกับ CRG จึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ทำให้ Shinkanzen Sushi สามารถสเกลอัพได้อย่างก้าวกระโดด และเติบโตไปได้ไกลและเร็วกว่าที่เคยฝันไว้
จากร้านซูชิ 6 โต๊ะในวันนั้น สู่เชนร้านอาหารพันล้านในวันนี้ เรื่องราวของ Shinkanzen Sushi คือบทเรียนอันยอดเยี่ยม ว่าด้วยการเติบโตที่ไม่ใช่แค่การวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่คือการรู้จักปรับตัวเมื่อเจอทางตัน การลงทุนสร้างรากฐานเมื่อถึงเวลา และการมองหาพันธมิตรที่ใช่เพื่อทะยานไปให้ไกลกว่าเดิม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Amity คว้า 3 รางวัลรองชนะเลิศจากเวที TICTA 2025
AIS คว้าสิทธิ์ยิงสด NBA ฤดูกาล 2025-2026 ประเดิมด้วย 5 แมตช์ชมฟรี