สองผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเมตาเวิร์สเผย จักรวาลนฤมิตไม่ใช่เรื่องของอนาคตอันใกล้อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ และทั่วโลกกำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นเหมือน ๆ กัน ดังนั้น อย่าพลาดโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมตาเวิร์สเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นมากกว่าพื้นที่โลกเสมือนจริงที่ปรากฎให้เห็นมากขึ้นในปัจจุบัน
เคธีเบิร์ค (Kathie Burke) หัวหน้าฝ่าย Metaverse Thought Leadership and Offerings Lead ของแอคเซนเจอร์ บริษัทผู้พัฒนาธุรกิจชั้นนำระดับโลกแสดงความเห็นเกี่ยวกับโอกาสในการพัฒนาเมตาเวิร์สเพื่อให้งานในปัจจุบันว่า เมตาเวิร์สอาจจะเป็นศัพท์ใหม่ที่เริ่มคุ้นชินมากขึ้น แต่ไม่ใช่ของใหม่ที่ทุกคนไม่รู้จัก ซึ่งโดยส่วนตัว เมตาเวิร์ส เป็นวิวัฒนาการอีกขั้นของการนำอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่ในขณะนี้ไปใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโลกเสมือนให้รู้สึกถึงการมีเป็นส่วนหนึ่ง และการสร้างระบบที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์ดิจิทัล
“หลายบริษัทหลายแบรนด์ในขณะนี้กำลังพยายามที่จะทำความเข้าใจในการที่จะเปลี่ยนผ่านสินค้าและบริการ ที่จับต้องได้ในโลกความเป็นจริงให้เข้าสู่พื้นที่เสมือน ส่วนใหญ่ล้วนลงมือลองทำ ทดสอบ และเรียนรู้ นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนทำอยู่ในขณะนี้ เรียกว่าเรากำลังอยู่ในช่วงทดลอง เช่น กระเป๋าแบรนด์เนมหรูบางแบรนด์ที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ควบคู่ไปกับการออก NFT ที่แสดงถึง “ความแท้” ของกระเป๋าใบนี้” เคธี่ กล่าว
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญของการพัฒนาเมตาเวิร์สที่ไม่อาจละเลยได้ก็คือ การให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว เคธี่ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้อยู่บ้างที่เทคโนโลยีเมตาเวิร์สจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกขนลุกแต่ประเด็นสำคัญก็คือ จำเป็นต้องมีเมตาเวิร์สซึ่งมีอิทธิพลมากพอที่จะเปลี่ยนวิถีหรือแนวทางการทำงานและใช้ชีวิตของคนในสังคม ดังนั้น การที่จะทำให้คนตอบรับได้มากขึ้น ก็ต้องไม่ลืมที่จะทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ให้ลึกซึ้งอย่างถึงแก่น
ด้าน นิคโรซา (Nick Rosa) หัวหน้าฝ่าย Technology Innovation Metaverse Lead, Accenture Europe and APAC ของแอคเซนเจอร์ เสริมว่า เมตาเวิร์สขณะนี้เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่หลาย ๆ บริษัทเริ่มนำมาใช้งานมากขึ้น ยกตัวอย่างภาพให้เห็นได้ชัด ก็คือที่แอคเซนเจอร์ ที่นำเมตาเวิร์สมาใช้เตรียมความพร้อมพนักงานของบริษัท ซึ่งช่วงที่ผ่านมาแอคเซนเจอร์ ใช้แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สอบรมพนักงานใหม่มากกกว่า 150,000 คนพร้อมกัน โดยที่พนักงานได้สัมผัสประสบการณ์ที่มากกว่า การเข้าร่วมประชุมออนไลน์ทั่วไป
นอกจากนี้ นิค กล่าวว่า แอคเซนเจอร์ ใช้การแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สในการฝึกทักษะทางอารมณ์สังคม และทักษะซอฟท์สกิลต่าง ๆ มากมาย ซึ่งโดยปกติการอบรมเหล่านี้ต้องทำตัวต่อตัว พบปะหน้ากัน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถทำได้ แต่เมตาเวิร์สก็เข้าตอบโจทย์ตรงนี้ แถมยังเป็นการทำลายเส้นกั้นพรมแดนทำให้คนทุกคนสามารถเขาร่วมได้
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในเมตาเวิร์สก็คือประสบการณ์ เพราะ ประสบการณ์จะมอบคุณค่าให้คุณขณะอยู่ในสถานที่เสมือนจริงนั้น ดังนั้นการออกแบบด้วยความตั้งใจและการสร้างคุณค่าของประสบการณ์สำหรับผู้ใช้ที่จะไปยังสถานที่เฉพาะจึงเป็นกุญแจสำคัญ เพราะถ้าไม่มีประสบการณ์ที่ดีย่อมไม่มีใครอยากไป” นิคกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะบริษัทองค์กร นิคกล่าวว่า สิ่งที่ต้องคิดเพิ่มเติมนอกเหนือจากประสบการณ์ที่ดีคือ รูปแบบธุรกิจและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ เพราะเมตาเวิร์สเป็นสถานที่ส่วนกลางและเป็นสถานที่ที่มีกลุ่มคนหลากหลาย ดังนั้นบริษัทแต่ละแห่งต้องเข้าใจวิธีสร้างกลไกที่อยู่เบื้องหลังเมตาเวิร์ส เพื่อที่จะได้ก้าวไปข้างหน้าและทำให้ผู้คนมีส่วนร่วมในสถานที่เฉพาะนั้นๆ ได้
ทั้งนี้ นิคกล่าวสรุปว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาเมตาเวิร์สก็คือการเริ่มต้นลงมือทำ โดยให้เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ก่อน เพราะขณะนี้ เทคโนโลยีเมตาเวิร์สยังไม่ได้โตเต็มที่ 100% ดังนั้น จึงต้องเริ่มต้นพัฒนา ทั้งในแง่เทคโนโลยี กลยุทธ์ และแนวทางการใช้งาน ที่จะทำให้สามารถรวบรวม know-how ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ว่าเมื่อเกิดกรณีที่จะต้องใช้งาน ก็จะได้พร้อมหยิบนำมาใช้
ขณะที่ เคธี่เสริมว่า บริษัทใดก็ตามที่สามารถทำความเข้าใจ พัฒนา และนำมาใช้ได้โดยคำนึงถึงความต้องการและประสบการณ์ของลูกค้า แบรนด์นั้นก็จะมีหนทางต่อยอดไปสู่โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจไม่จบสิ้น
ความเห็นของสองผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเมตาเวิร์สครั้งนี้มีขึ้นระหว่างการแถลงข่าวประกาศความร่วมมือระหว่าง บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยกับ แอคเซนเจอร์ (Accenture) บริษัทผู้ให้บริการด้านพัฒนาธุรกิจชั้นนำระดับโลก เพื่อพัฒนา Metaverse ให้กับ MQDC ด้วยการออกแบบรูปแบบโครงการเมตาเวิร์ส ของ MQDC ทำการวิจัยตลาดความต้องการ ลูกค้าและผู้ใช้บริการ วางโครงร่างรูปแบบธุรกิจ ไปจนถึงการวางแนวทางการออกแบบประสบการณ์เหนือจินตนาการให้กับโครงการเมตาเวิร์สนี้
ภารุตเพ็ญพายัพผู้อำนวยการโครงการเมตาเวิร์ส MQDC กล่าวถึงแนวคิดของโครงการที่จัดการแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยส่วนแรกคือการมอบประสบการณ์เหนือจินตนาการให้กับลูกค้าและผู้ใช้บริการในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้บริการเดิมหรือลูกค้ารายใหม่ ส่วนที่สองจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ใหม่ให้กับคนที่มีความสนใจที่จะเข้าร่วมพัฒนาธุรกิจบนเมตาเวิร์ส และส่วนสุดท้ายการสร้างพื้นที่ที่เชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนอย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไปที่สนใจได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสัมผัสประสบการณ์แบบไฮบริดที่ยังไม่เคยมีที่ไหนในโลก
“เรามีความมั่นใจในการพัฒนาโครงการนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญ ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีตลอดจนมีความเข้าใจในการพัฒนาเมตาเวิร์สเป็นอย่างดีของเอคเซนเชอร์ จะทำให้โครงการเมตาเวิร์ส ของเราสามารถสร้างคุณค่าและคุณประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการได้อย่างเต็มที่ โดยจะได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า มอบโลกใหม่ที่สมบูรณ์แบบให้ความรู้สึกดื่มด่ำเหนือจินตนาการ มีความเป็นหนึ่งเดียวและพร้อมแบ่งปันความสุขอันยั่งยืนได้ตามพันธกิจหลักของเราได้อย่างแน่นอน” ภารุต กล่าว
ด้านฮูซินอดัม (Husin Adam) กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมค้าปลีกเอคเซนเชอร์ประเทศไทยกล่าวว่า การทำงานร่วมกันระหว่างเอคเซนเชอร์กับ MQDC จะช่วยขยายขอบเขตของโลกดิจิทัลให้กว้างไกลและนำผู้ใช้บริการไปสู่ประสบการณ์อันดื่มด่ำในสภาพแวดล้อมที่พร้อมพรั่งไปด้วยโลกกายภาพ โลกเสมือนจริงและแฟนตาซี
ทั้งนี้ นอกเหนือจากโครงการ Translucia Metaverse แล้ว MQDC ยังได้ร่วมเป็นหนึ่งใน 11 พันธมิตรของ ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอลในการร่วมออกยูทิลิตี้ โทเคน Crown Token ซึ่งเทรดบนแพลตฟอร์ม ZIPMEX เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่ง Crown Token ถือว่าเป็นยูทิลิตี้ โทเคน ที่ได้รับการพัฒนาบนระบบอีโคซิสเต็มครบวงจร ด้วยความร่วมมือของพันธมิตรในไทยและนานาประเทศทั่วโลกจากหลากหลายวงการทั้งธุรกิจบันเทิง ฟินเทค อีสปอร์ต และสถาบันการศึกษา รวมทั้งยังเชื่อมโยงกับผลงานทรัพย์สินทางปัญญาที่พัฒนาโดยทีแอนด์บีและพันธมิตรอีกด้วย
