ปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสนใจในการซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของตัวรถเท่านั้นแต่ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ควรรู้และพิจารณาประกอบการตัดสินใจ เช่น กรมธรรม์ประกันภัยรถไฟฟ้า (BEV) ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความคุ้มครองและเงื่อนไขใหม่ ๆ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 ผู้บริโภคที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า จึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัย BEV ฉบับใหม่นี้ให้ดี นอกจากนี้ มีประเด็นเกี่ยวกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองที่กำลังได้รับความสนใจไม่แพ้กัน
สถานการณ์และทิศทางค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้า
จิตวุฒิ ศศิบุตร นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเดินทางเข้าสู่ตลาดเมื่อปี 2022 หรือ 2 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยต่างเริ่มตั้งคำถาม “ทำไมเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าถึงมีอัตราค่อนข้างสูง” เหตุเกิดจากมีข้อมูลหรือสถิติที่ไม่เพียงพอ เช่น ค่าแรง ค่าอะไหล่ การซ่อมแซม รวมถึงพฤติกรรมของกลุ่มคน “เนื่องจาก ณ เวลานั้นรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย” แต่ปัจจุบันเรื่องของกรมธรรม์ประกันภัยเริ่มดีขึ้นเกิดจากความร่วมมือหลากหลายฝ่ายที่แชร์ข้อมูลและสถิติ เช่น ผู้ประกอบการบางรายเริ่มเปิดโรงงานให้เข้าไปศึกษาข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าส่งผลให้สามารถคาดการณ์และประเมินราคาที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (ค.ป.ภ.) ออกกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่ ประกาศเมื่อวัน 1 มกราคม 2024 บังคับใช้วันที่ 1 มิถุนายน 2024 หากบุคคลใดประสงค์ต่อประกันรถยนต์ไฟฟ้าหลังจากนี้จำเป็นต้องใช้กรมธรรม์ฉบับใหม่เท่านั้น ซึ่งประกันฉบับใหม่สามารถนำมาปรับใช้เฉพาะรถ BEV (Battery Electric Vehicle)
กรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่ แตกต่างจากกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าฉบับเดิมอย่างไร
ประเด็นที่หนึ่ง กรมธรรม์ประกันรถยนต์ไฟฟ้าฉบับเดิมไม่ต้องระบุชื่อ กรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่ “ผู้ทำประกันรถ BEV ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ 5 คน พร้อมเลขที่ใบอนุญาตขับขี่ อาชีพ และวัน/เดือน/ปีเกิด” ในกรณีเป็นผู้ขับขี่ที่ไม่ได้ระบุชื่อลงในกรมธรรม์ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ มีความเสียหายส่วนแรก ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเอง สำหรับด้านของตัวรถซึ่งต้องจ่ายค่าซ่อม 6,000 บาทแรก ส่วนบุคคลภายนอกต้องจ่าย 2,000 บาท และส่วนต่างที่เหลือประกัน เป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด แต่หากระบุชื่อผู้ขับขี่ 5 ท่าน เมื่อเกิดอุบัติเหตุ “ผู้เอาประกันไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายด้านใดเลยในส่วนแรก”
ประเด็นที่สอง กรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าฉบับเดิมมีส่วนลดประวัติดี กล่าวคือหากไม่มีประวัติการขับขี่ชนจะมีลดส่วนลดให้ตั้งแต่ 10%-50% สูงขึ้นเรื่อย ๆ ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี “แต่ฉบับใหม่มีครอบคลุมสุงสุดเพียง 40% หากปีแรกไม่มีอุบัติเหตุจะได้ส่วนลด 20% ทันที” และที่สำคัญหากต้องการเปลี่ยนบริษัทประกัน “ข้อดีของประกันฉบับใหม่ส่วนลดประวัติดีจะย้ายติดตามไปด้วย” แต่ถ้ามีประวัติที่ไม่ดี ชนมากกกว่าสองครั้งขึ้นไปส่งผลให้ถูกลดค่าเบี้ยตั้งแต่ -20% ถึง -40% และประวัติจะติดตามไปด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่สาม ด้านที่ประกันรถยนต์ไฟฟ้าไม่คุ้มครอง เช่น ด้านซอฟต์แวร์ หากระบบขับขี่ไม่เบรกหรือไม่เข้าโค้งตามที่ผู้ผลิตกำหนด โดยไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของคนแต่เกิดจากฟังก์ชันของรถยนต์ไฟฟ้า ประกันภัยจะไม่คุ้มครอง แต่ประกันภัยจะจ่ายให้ก่อน และไปเก็บกับประกันผู้ผลิตรถยนต์ทีหลัง รวมถึงการถูกแฮกโดยไซเบอร์ด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่สี่ ด้านแบตเตอรี่กรมธรรม์ฉบับใหม่จะมีค่าเสื่อมสภาพ ยกตัวอย่างเช่นรถราคา 1,000,000 บาท ในปีแรกประกันจ่ายค่าแบตเตอรี่ 500,000 บาท หากเข้าปีที่สองเหลือ 450,000 บาท ลด 10% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 5 ปี
“การใช้กรมธรรม์รถ BEV จะนำไปใช้เฉพาะส่วนของรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นลำดับแรก และยังไม่เริ่มในรถเช่า” จิตวุฒิ กล่าว
ความคุ้มครอง Charger หรือ Wallbox
สำหรับชาร์จไฟที่บ้านตัวกรมธรรม์จะขยายความคุ้มครองให้ฟรีเฉพาะชาร์จเจอร์แบบพกพาที่แถมมาในรูปแบบ Accessory จะคุ้มครองให้เฉพาะกรณีไฟไหม้ หรือถูกโจรกรรมเท่านั้น นอกจากนี้ ความรับผิดที่เกิดจาก Wallbox เช่น ชาร์จแล้วไฟไหม้ ประกันจะไม่คุ้มครอง แต่จะคุ้มครองเฉพาะตัว Wallbox เท่านั้น ถ้าต้องการประกันไฟไหม้ต้องซื้อเพิ่ม นอกจากนี้ในกรณีเอาแบตเตอรี่ หรือตัวรถไปโมดิฟาย กรมธรรม์ก็จะยกเว้นไม่จ่ายเช่นกัน
บริษัทประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเปลี่ยนระบบกรมธรรม์เพื่อส่งเสริมธุรกิจ BEV และ Net Zero ในประเทศไทย และพยายามควบคุมให้เกิดความสมดุลตามความเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อความยั่งยืนทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นหลักของกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้า BEV จากนายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทยภายในงานเสวนาประจำปี 2567 (MEET EVAT) เพื่อให้เห็นถึงทิศทางค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้า BEV
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง ปี 2024
นพดล นิลธรรมชาติ ประธานสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว กล่าวว่า ปัจจุบันสถาการณ์ยอดขายตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองขึ้นอยู่กับการขายรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ กล่าวคือ รถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ขายได้เท่าไร ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองก็จะขายได้ใกล้เคียงเท่านั้น โดยในปี 2020 ยอดขายรถยนต์โดยรวมอยู่ที่ 792,000 คัน และเมื่อปี 2022 ยอดขายรถยนต์เติบโตขึ้นมาเป็น 849,000 คัน ยอดราคารถมือสองก็ตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน
สมาคมไฟแนนซ์ประเทศไทย เปรียบเทียบยอดรถที่จัดไฟแนนซ์ทั้งหมดปี 2022 พบว่า ยอดจัดของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองอยู่ที่ 130,000,000,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นปี 2022 ยอดขายรถมือสองอยู่ที่ประมาณ 500,000 คัน ใกล้เคียงกับยอดรถใหม่ที่ขาย ดังนั้น ตลาดรถมือสองในปัจจุบันสำคัญ และมีส่วนส่งเสริมในการขายรถใหม่ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์สันดาป
นอกจากนี้ โชว์รูมรถใหม่ทุกโชว์รูมโดยประมาณเกือบ 50%ลูกค้าที่จะมาซื้อรถยนต์ EV หรือรถยนต์สันดาปต่างพบเจอกับปัญหา คือลูกค้ามีราคาในใจแต่ถ้าไม่สามารถตีราคาที่เหมาะสมได้อาจส่งผลให้เกิดการซื้อช้า แตกต่างจากการมีราคาที่มาตรฐานและเหมาะสมจะส่งผลให้ผู้ซื้อตัดสินใจง่ายขึ้น
ทางสมาคมฯ จึงคิดจะสามารถแก้ Pain Pont ด้วยการสร้างมาตราฐานราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองได้อย่างไร สมาคมฯ ต้องการให้ผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้ามือสองมีพนักงงานที่มีทัศนคติเหมือนกันและส่งต่อให้บริษัทไฟแนนซ์หรือลานประมูลให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเกิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองที่ยั่งยืน
“เราไม่มีสิทธิกำหนดราคารถยนต์มือสอง แต่สามารถกำหนดได้ว่ารถคันนี้ราคาจะแตกต่างกันโดยเทียบจากสภาพของรถยนต์ที่เป็นมาตราฐานเดียวกัน ส่วนราคาให้ขึ้นอยู่กับราคาตลาด Demand & Supply เพราะฉะนั้นจุดนี้จะสามารถช่วยขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้ามือสองได้ในอนาคต” นพดล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ซื้อรถไฟฟ้า…ต้องรู้! การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียและวางแผนอย่างรอบคอบจะเป็นกุญแจสำคัญ สู่ประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าที่คุ้มค่าต่อความต้องการอย่างแท้จริง
“หากมีวินัยและมีการวางแผนการเดินทาง รถยนต์ไฟฟ้ามือสองไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเพียงแต่ต้องใช้ให้ถูกต้อง”
สรุปจากงานเสวนา MEET EVAT ประจำปี 2024 Session: สถานะและทิศทางค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้า/สถานะและทิศทางตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง
