TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBangkok Storyกสศ. แนะเชื่อมข้อมูล "เด็กยากจน 1.9 ล้านคน" ให้ "ปฐมวัย-อุดมศึกษา" เรียนต่อ 20 ปีไร้รอยต่อ

กสศ. แนะเชื่อมข้อมูล “เด็กยากจน 1.9 ล้านคน” ให้ “ปฐมวัย-อุดมศึกษา” เรียนต่อ 20 ปีไร้รอยต่อ

กสศ.ชี้สังคมไทยยังหยุดวงจรความยากจนได้ยาก หากเยาวชนจากครัวเรือนยากจนมีโอกาสเรียนต่ออุดมศึกษาเพียงร้อยละ 20 เชื่อหลักประกันโอกาสการศึกษาระยะยาวช่วยลดความเหลื่อมล้ำจาก 6 เท่าเหลือ 1.4 เท่า พร้อมเสนอเชื่อม BIG DATA เด็กยากจน-ยากจนพิเศษ 1.9 ล้านคนเรียนต่อจากปฐมวัยถึงอุดมศึกษา 20 ปีแบบไร้รอยต่อ 

ความยากจนข้ามรุ่น และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษายังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย โดยเฉพาะเยาวชนจากครอบครัวยากจนจำนวนมาก ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือมากกว่าภาคบังคับ

ดร.ไกรยส ภัทราวาทผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า ข้อมูลจากองค์การยูเนสโก ระบุว่าไทยมีเยาวชนจากครัวเรือนฐานะยากจนที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศ เพียง 8 ใน 100 คนเท่านั้นที่สามารถศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้  น้อยกว่าเด็กที่มาจากครัวเรือนร่ำรวยที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศถึง 6 เท่า

ไม่ได้เพราะความสามารถและขาดศักยภาพการเรียนรู้ หากแต่เป็นเพราะการเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาจากเศรษฐานะของครอบครัวและปัจจัยอื่น ๆที่ ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงโอกาส และทำให้เด็กไม่สามารถที่จะเรียนต่อ ทั้งนี้ มีผลวิจัยชี้ว่ามีเด็กช้างเผือก (Resilient Students) ซึ่งมาจากครัวเรือนยากจนที่สุดของประเทศที่แม้จะยากจนแต่สามารถสอบผ่านเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา 

จากฐานข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือกสศ. ระบุว่า ปีการศึกษา2565 มีเยาวชนจากครัวเรือนที่ยากลำบากที่สุด 20,018 คน สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้  

มีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษจำนวน 20,018 คน หรือราวร้อยละ 14 ของจำนวนนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่อยู่ในระบบการศึกษาชั้น ม.3 เมื่อปีการศึกษา 2561 สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตัวเลขนี้อาจเป็นจำนวนไม่มาก แต่นับว่ามีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น”  ดร.ไกรยส  ภัทราวาท กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุด 

ทำอย่างไรจึงจะสร้าง “โอกาสทางการศึกษา” ให้เสมอภาคได้จริง

เยาวชนกลุ่มที่ดร.ไกรยส พูดถึง คือ “นักเรียนทุนเสมอภาค” รุ่นแรกของกสศ. ที่ได้รับการคัดกรองมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เวลานั้นกสศ.ในฐานะองค์กรที่มีภารกิจในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเร่งให้เกิดการปฏิรูปและหากลไกมาตรการเพื่อให้สามารถสร้างโอกาสที่จะนำไปสู่การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาได้เร็วที่สุด โจทย์คือจะทำอย่างไรถึงจะแก้ได้ตรงจุดในขณะที่ทรัพยากรด้านงบประมาณของประเทศมีจำกัด

กสศ. ได้เริ่มพัฒนากระบวนการคัดกรองนักเรียนยากจนพิเศษด้วยวิธีวัดรายได้โดยอ้อม (Proxy Means Test: PMT)  ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย เพื่อชี้เป้าหมายเด็กและเยาวชนที่มีชีวิตยากลำบากร้อยละ 15 ของประเทศ ให้ได้รับเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข หรือทุนเสมอภาคจากกสศ. ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าครองชีพ ให้สามารถเรียนได้อย่างต่อเนื่อง เพราะกสศ.เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงหลุดนอกระบบการศึกษาเพราะความยากจนระดับรุนแรง แม้ว่ารัฐจะมีมาตรการเรียนฟรีก็ตาม และที่ผ่านมากสศ.ได้พิสูจน์แล้วว่า กลไกของทุนเสมอภาคช่วยทำให้นักเรียนยากจนพิเศษมาเรียนมากขึ้นและทำให้จำนวนเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาน้อยลงเป็นลำดับ

“หลักประกันโอกาสทางการศึกษา” ลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการศึกษาและประเมินผลที่กสศ.ทำตลอด 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า การทำให้เรื่องโอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องที่ยั่งยืนได้สำหรับนักเรียนยากจนพิเศษ คือการปิดช่องว่างระหว่างหน่วยงาน และเชื่อมต่อฐานข้อมูลในการส่งต่อนักเรียนยากจนพิเศษให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรและเข้าถึงการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น 

“ทำอย่างไรให้การช่วยเหลือในระบบไร้รอยต่อจากอนุบาลถึงอุดมศึกษา เมื่อเราค้นพบเด็กจากการคัดกรองแล้วต้องหาทางส่งต่อให้เขาให้มีโอกาสเรียนให้ได้มากที่สุด ทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงการศึกษาที่ตัวเองอย่างเรียน”

การสนับสนุนเด็กช้างเผือกได้รับการศึกษาสูงสุดอย่างเต็มศักยภาพ เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจของ “ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา” ที่กสศ. ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รวมทั้งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และที่ประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฎ ในการเชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนยากจน/ยากจนพิเศษ ที่ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ผ่านระบบ TCAS  และส่งต่อข้อมูลไปยังมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนทั่วประเทศ เพื่อให้จัดหาทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือการสนับสนุนอื่น ๆ ที่จำเป็นอย่างรอบด้าน 

“ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา” ที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลรายบุคคลและรายสถานศึกษาระยะยาว (Longitudinal Database) ครอบคลุมเด็กเยาวชนที่มาจากครัวเรือนซึ่งมีรายได้น้อยที่สุดของประเทศจำนวนมากกว่า 1.9 ล้านคนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยเหลือสนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กเยาวชนเหล่านี้ไม่หลุดออกจากระบบการศึกษาและสามารถศึกษาต่อไปจนถึงระดับสูงสุดตามศักยภาพตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา

ดร.ไกรยส  กล่าวว่า ถือเป็นความก้าวหน้าของระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาที่กสศ.และภาคีเริ่มภารกิจนี้เมื่อปลายปี 2564 ปัจจุบันเยาวชนทั้ง 20,018 คน กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา 75 แห่ง ประกอบด้วย กลุ่มมหาวิทยาลัยกำกับของรัฐมากที่สุด คือ 7,599 คน (ร้อยละ 38) รองลงมาคือสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏ 5,891 คน (ร้อยละ 29) กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐ 5,132 คน (ร้อยละ26) กลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคล 1,235 คน (ร้อยละ 6) กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนและสถาบันการศึกษาอื่น ๆ 161 คน (ร้อยละ 1)

ในจำนวนนี้มีนักเรียน 6 คน สอบผ่านการคัดเลือกเข้ากลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย และเป็นนักศึกษาในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นของ กสศ. 25 คน

เชื่อมโยง BIG DATA ให้โอกาสการศึกษา “ปฐมวัย-อุดมศึกษา” 20 ปีไร้รอยต่อ 

ดร.ไกรยส ชี้ว่า ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา เป็นเครื่องมือให้หน่วยงานด้านนโยบาย สามารถกำหนดเป้าหมาย และติดตามความก้าวหน้าในการส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา ของประชาชนคนไทยจากครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน เช่น หากกระทรวง อว. ต้องการกำหนดเป้าหมายด้านความเสมอภาคทางการศึกษา ให้นักเรียนยากจน/ยากจนพิเศษมีโอกาสในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าใกล้เคียงกับนักเรียนจากครัวเรือนที่มีฐานะดีในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศรายได้สูงภายใน 10 ปีระบบหลักประกันฯนี้ก็จะสามารถช่วยเป็นเครื่องมือในการจัดทำนโยบาย (Policy Instrument) และเป็นเครื่องมือติดตามนโยบาย (Policy Monitoring) ในการลดความเหลื่อมล้ำจาก 6 เท่าเหลือ 1.4 เท่าได้

ฐานข้อมูลจากระบบหลักประกันฯ ยังสามารถใช้สนับสนุนการวิจัยพัฒนานโยบายสาธารณะ (Public Policy) เพื่อสนับสนุนมาตรการระยะยาวในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา รวมทั้งสนับสนุนการเชื่อมโยงมาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับอุดมศึกษาในอนาคต (Basic and Higher Education Systems Integration)

ตลอดเส้นทางหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ไม่เพียงใช้ความร่วมมือและทรัพยากรจากภาครัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นฐานข้อมูลสนับสนุนการระดมทุนและทรัพยากรจากภาคเอกชน และประชาชนที่สนใจอยากร่วมสนับสนุนความเสมอภาคทางการศึกษาให้แก่เด็กเยาวชนที่ยังขาดโอกาสในการส่งเสริมพัฒนาอย่างเต็มที่ เช่น โครงการลมหายใจเพื่อน้อง ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และโครงการก้าวเพื่อน้อง โดยมูลนิธิก้าวคนละก้าว ที่ช่วยเหลือนักเรียนช่วงชั้นรอยต่อที่หลุดจากระบบให้กลับมาเรียน หรือการที่ กสศ. ได้ร่วมมือกับบริษัทแสนสิริ และ SCB ในการออกหุ้นกู้ระดมทุนมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อทำงานในพื้นที่จังหวัดราชบุรีเป็นเวลา 3 ปี ในโครงการ ‘Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน’ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนเด็กเยาวชนนอกระบบในจังหวัดให้เหลือ ‘ศูนย์’

โอกาสการศึกษา ‘ติดกระดุมเม็ดแรก’ ยุติวงจรความยากจนข้ามชั่วคน 

ดร.ไกรยส ชี้ว่า โอกาสทางการศึกษา คือการลงทุนที่สร้างผลกระทบและให้มูลค่าตอบแทนที่สูงที่สุดต่อประเทศ โดยเฉพาะการสร้างระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ให้เด็กเยาวชนสามารถก้าวข้ามช่วงชั้น และพัฒนาตนเองในระดับการศึกษาที่สูงที่สุดเท่าที่ศักยภาพจะพาไปถึง ซึ่งจะส่งผลถึงรายได้จากการประกอบอาชีพหลังจบการศึกษา โดยประชากรกลุ่มนี้จะเป็นคนรุ่นแรกของครอบครัวที่จบการศึกษาสูงกว่าพ่อแม่ที่เดิมมีค่าเฉลี่ยระดับการศึกษาสูงสุดเพียงชั้นประถมศึกษาหรือเทียบเท่าแล้วเมื่อวันที่คนรุ่นนี้มีรายได้สูงขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน ย่อมหมายถึงการเปิดประตูสู่โอกาสในชีวิตที่มากกว่า และแน่นอนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมเศรษฐกิจและหยุดวงจรความยากจนที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นให้สิ้นสุดลง

การประมาณการรายได้ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน (อายุ 22-60 ปี) และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ในกรณีที่นักศึกษา 20,018 คนจากครัวเรือนรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนจะได้รับ เมื่อพวกเขาสำเร็จการศึกษา ซึ่งคำนวณจากมูลค่าทางเศรษฐกิจปัจจุบัน (Present Value) จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ปี 2562 โดยใช้สมมติฐานอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่ 3% จะเท่ากับว่าคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย จะมีรายได้สูงกว่าคนที่เรียนจบแค่ชั้น ม.3 แล้วหลุดไปจากระบบการศึกษา เพิ่มขึ้นถึงคนละ 3.6 ล้านบาท จำนวนนี้ถ้าคูณ 20,018 คนเข้าไป เท่ากับว่าถ้าเราคุ้มครองดูแลให้ทุกคนจบการศึกษาและเข้าไปประกอบอาชีพได้ ประเทศไทยจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 72,000 ล้านบาท ในระยะเวลาราว 20 ปีข้างหน้านี้    

“จะเห็นว่ามูลค่าที่กล่าวถึงนี้ไม่ได้เป็นเพียงผลตอบแทนส่วนบุคคลของเด็กกลุ่มนี้ แต่เป็นการลงทุนต่อประเทศที่สำคัญ ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยจะก้าวออกจากกับดักรายได้ปานกลางภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ตั้งไว้ เพราะเมื่อตัวเลขของเยาวชนกลุ่มนี้ขยับขึ้นไปจาก 14% ในอนาคต เราอาจจะหลุดออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้เร็วกว่าที่คิด” ดร.ไกรยส ทิ้งท้าย

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ