Glen Schofield นักออกแบบเกมและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Sledgehammer Games ผู้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเกมแฟรนไชส์ Call of Duty หลายภาค (แม้จะไม่ได้เป็นผู้สร้างแฟรนไชส์ทั้งหมดก็ตาม) และยังเป็นมันสมองเบื้องหลังเกมระดับตำนานอย่าง Dead Space ซึ่งสร้างรายได้รวมกันกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ไม่ได้มาเพียงเพื่อแบ่งปันเคล็ดลับการสร้างสรรค์ พร้อมส่งเสียงเตือนดังลั่นไปถึงทุกคนในวงการ ว่า อุตสาหกรรมเกมกำลังพังทลายพร้อมชี้ทางรอดที่ต้องลงมือทำทันที
ถึงเวลาซ่อมแซมอุตสาหกรรมเกม
ก่อนจะเจาะลึกถึงเคล็ดลับการสร้างสรรค์ไอเดีย Glen Schofield กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมเกมเป็นที่น่ากังวล ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหล่านักพัฒนาต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักหน่วง เขาจึงได้เสนอ 3 แนวทางเร่งด่วนเพื่อแก้ไขวิกฤตินี้
ประการแรก คือการยอมรับและฝึกฝนการใช้ AI เขาเรียกร้องให้ผู้บริหารและสตูดิโอต่าง ๆ เริ่มฝึกอบรมพนักงานให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพโดยเร็วที่สุด เพราะ AI ไม่ใช่ศัตรูที่จะมาแทนที่มนุษย์ แต่เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้นักพัฒนากลับมาแข็งแกร่งและทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดังที่เขากล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะอยู่ค่ายไหน เราควรทำงานร่วมกันเพื่อฝึกฝนบุคลากรของเรา”
ประการที่สอง เขาได้วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงแนวคิดการลงทุนที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น การพยายามสร้างเกมฟอร์มยักษ์ (AAA) ด้วยงบประมาณที่จำกัดเกินไป Schofield ยืนยันว่าอุตสาหกรรมเกมยังคงทำกำไรได้เสมอ แต่ปัญหาที่แท้จริงเกิดจากการเลือกคนผิดมานำทีม เขาจึงย้ำว่าเกมที่ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ด้านความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง
สุดท้ายคือการนำ E3 กลับมา เขาแสดงความเสียดายที่มหกรรมเกมระดับตำนานนี้ต้องหายไป เพราะ E3 ไม่ใช่แค่งานแสดงเกม แต่เป็นพื้นที่สำคัญที่คนในวงการจะได้พบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ซึ่งช่วยให้ผลงานของเขาดีขึ้นเสมอ การที่แต่ละค่ายแยกกันไปจัดงานของตัวเอง คือสัญญาณของความแตกแยกที่นำไปสู่อุตสาหกรรมที่อ่อนแอลง
ข้อเรียกร้องของ Schofield จึงไม่ใช่แค่การแสดงความคิดเห็น แต่เป็นการส่งสารที่ชัดเจนไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจว่า หากต้องการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเกมให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง สิ่งที่ต้องทำโดยด่วนคือการสนับสนุนนักพัฒนาและลงทุน
เปิดหลักคิด Glen Schofield: 9+1 แนวทางสร้างสรรค์ไอเดียเกมระดับโลก
Glen Schofield ได้แบ่งปันหลักการส่วนตัวที่เขาใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ไอเดียภายใต้สภาวะกดดัน โดยเขาได้นำเสนอ 9 แนวคิดหลัก พร้อมด้วยอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญแห่งยุคอย่าง AI ซึ่งเปรียบเสมือนข้อสุดท้ายที่เพิ่มเข้ามา
1. การใช้เวลากับความคิดของตัวเอง (Private Ideation Time) Schofield เผยว่าเคล็ดลับของเขาคือ “การตั้งคำถามกับตัวเอง” เขายกตัวอย่างระบบ Exo Suit ในเกม Call of Duty: Advanced Warfare ซึ่งเกิดขึ้นจากคำถามเรียบง่ายที่ว่า “ในเกมต่อไป เราอยากจะทำอะไรร่วมกัน?” จนนำไปสู่คำตอบว่า “ผมแค่อยากกระโดดให้สูงขึ้น” ซึ่งแนวคิดที่ไม่ซับซ้อนนี้ได้กลายเป็นกลไกสำคัญที่เข้ามาปฏิวัติรูปแบบการเล่นของเกมในซีรีส์ไปอีกหลายภาค
2. การใช้ประสบการณ์ส่วนตัว (Personal Experience) แรงบันดาลใจไม่จำเป็นต้องมาจากสิ่งที่ซับซ้อนเสมอไป บางครั้งไอเดียที่ดีที่สุดก็เกิดจากการแสดงความเคารพต่อสิ่งที่ตนรัก เช่น ฉากเรือดำน้ำที่ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำแข็งในเกม Modern Warfare 3 แท้จริงแล้วคือการคารวะต่อ George Lucas และฉากหนึ่งในภาพยนตร์ Star Wars ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา
3. การค้นคว้าข้อมูลอย่างลึกซึ้ง (Research) Schofield เน้นย้ำว่าการค้นคว้าข้อมูลคือหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทรงพลังที่สุด เขาเล่าเบื้องหลังการสร้างศาสนา Unitology ในเกม Dead Space ว่าเป็นผลมาจากการค้นคว้าอย่างจริงจัง จนทำให้โลกของเกมมีมิติและความลึกซึ้งในระดับที่ผู้เล่นต้องทึ่ง
Schofield เล่าว่าจุดเริ่มต้นมาจากการที่เขารู้สึกว่าเกม Dead Space ยังขาดมิติบางอย่างไป และคำตอบที่เขาค้นพบคือ “ศาสนา” แรงบันดาลใจสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเขาได้อ่านบทความวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอุกกาบาตที่พุ่งชนโลกจนทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ และนำไปสู่ยุคของมวลมนุษยชาติ จากจุดนั้นเอง เขาจึงเกิดคำถามสำคัญที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าต้นกำเนิดของมนุษย์ไม่ได้มาจากอุกกาบาต แต่มาจาก ‘บางสิ่ง’ ที่ซ่อนอยู่ในหินก้อนนั้น?” แนวคิดนี้ได้ก่อกำเนิดเป็น “The Marker” วัตถุลึกลับในเกม
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความขัดแย้งทางความเชื่อที่แบ่งผู้คนออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งศรัทธาว่า The Marker คือผู้สร้างมนุษย์ ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกนี้เองได้กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับศาสนาในเกม และพลิกโฉมหน้าของเกม Dead Space ไปตลอดกาล
4. การระดมสมองอย่างมีประสิทธิภาพ (Brainstorming) แม้การระดมสมองจะเป็นวิธีที่ทุกคนคุ้นเคย แต่ Schofield แนะนำเคล็ดลับที่ทำให้มันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นั่นคือ การเตรียมตัวล่วงหน้า โดยเขาจะส่งข้อมูลให้ทีมไปศึกษาค้นคว้ามาก่อน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับไอเดียและวัตถุดิบในหัว แทนที่จะต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
5. การลงพื้นที่จริงเพื่อสัมผัสบรรยากาศ (Visiting Locations) “ผมต้องการ ‘ความรู้สึก’ ของการไปอยู่ที่นั่น” Schofield กล่าวถึงเบื้องหลังการสร้างเกม Call of Duty: WWII เขาเชื่อว่าแม้จะค้นคว้าข้อมูลมาอย่างดีเพียงใด ก็ไม่สามารถทดแทนการเดินทางไปสัมผัสสมรภูมิจริงในฝรั่งเศสและเยอรมนีได้ การได้เห็นพื้นผิว ร่องรอย และซึมซับบรรยากาศจริงด้วยตนเอง คือสิ่งที่ทำให้ทีมสามารถสร้างโลกของเกมที่สมจริงขึ้นอย่างมหาศาล
6. การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ (Working with Experts) หนึ่งในฉากที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์เกมอย่างฉากสะพาน Golden Gate ถล่มใน Advanced Warfare เกิดขึ้นได้จากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ Schofield เล่าว่าทีมงานได้โทรศัพท์ไปหา อดีตผู้ตรวจสอบสะพานที่เกษียณแล้ว ซึ่งให้ข้อมูลสำคัญว่า “คุณทำลายเสาตอม่อไม่ได้หรอก แต่คุณต้องทำลายสายเคเบิล” คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพียงประโยคเดียวนี้ ได้เปลี่ยนฉากธรรมดาให้กลายเป็นตำนานที่ทุกคนต้องจดจำ
7. การหยิบไอเดียจากพาดหัวข่าว (Ripped from the Headlines) Schofield เชื่อว่าการติดตามข่าวสารจากทั่วโลกเป็นแหล่งกำเนิดไอเดียชั้นดี เขายกตัวอย่างด่านในเซียร์ราลีโอนของเกม Modern Warfare 3 ที่ตอนแรกยังดูธรรมดา แต่กลับน่าสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขาได้อ่านข่าวว่า “พายุทรายสามารถหยุดกองทัพได้นานถึงสองวัน” เขาจึงนำพายุทรายเข้ามาเป็นองค์ประกอบในเกม ซึ่งมันได้เปลี่ยนรูปแบบการเล่นของด่านเดิมไปโดยสิ้นเชิง
8. พลังของดนตรีและเสียง (Music and Sound) Schofield ได้ยกสองตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเสียงเพลง Twinkle Twinkle Little Star ขณะที่เขากำลังหาเพลงประกอบที่ “แตกต่าง” สำหรับเทรลเลอร์สยองขวัญของ Dead Space เขาบังเอิญได้ยินลูกสาววัย 3 ขวบร้องเพลงนี้ที่บ้าน ความไร้เดียงสาของเพลงเด็กที่ตัดกับความสยดสยองของเกม ได้กลายเป็นส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบและน่าขนลุกอย่างไม่น่าเชื่อ
เสียงจากรถไฟ ผู้กำกับเสียงของเขาได้บันทึกเสียง “สุดสยอง” ที่เกิดขึ้นเมื่อรถไฟวิ่งลอดอุโมงค์ขณะเปิดหน้าต่าง เสียงนั้นถูกนำมาใช้ในเกมและมันดังสมจริงจนทำให้ผู้ทดลองเล่นตกใจและวิ่งชนกำแพง นี่คือตัวอย่างชั้นเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่า “เสียง” สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกในเกมได้
9. AI: เครื่องมือใหม่ที่ทรงพลัง (Artificial Intelligence) ข้อสุดท้ายนี้คือสิ่งที่ Schofield ให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เขาเล่าว่ามุมมองของเขาที่มีต่อ AI ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังจากใช้งานมากว่า 2 ปี “AI ไม่ได้มาเพื่อแทนที่เรา แต่มาเพื่อทำให้เรา เร็วขึ้น ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
โดยเขาใช้ AI ในสองรูปแบบหลักคือ การระดมสมอง เขาสามารถป้อนเนื้อเรื่องครึ่งหนึ่งเข้าไป แล้วตั้งคำถามเพื่อให้ AI ช่วยหา “ช่องโหว่” และการสร้างภาพต้นแบบอย่างรวดเร็ว เขาใช้ Midjourney เพื่อสร้างภาพคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ เช่น ฉากนี้ควรอยู่ในหิมะหรือตอนกลางคืนดี? แล้วจึงส่งต่อให้ Art Director พัฒนาต่อไป ซึ่งวิธีนี้ไม่ได้เป็นการแย่งงาน แต่เป็นการ เร่งกระบวนการสร้างสรรค์ ให้เร็วขึ้นอย่างมหาศาล
ท้ายที่สุดแล้ว Glen Schofield ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า แม้เทคโนโลยีอย่าง AI จะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน แต่มันก็ยังเป็นเพียง “เครื่องมือ” “จงเรียนรู้มัน ทดลองกับมัน และเติบโตไปกับมัน” เขากล่าว “เพราะท้ายที่สุดแล้ว ประกายไฟแห่งความคิดสร้างสรรค์ยังคงมาจากพวกเราทุกคน ไอเดียคือเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมนี้ และไอเดียเหล่านั้น…มาจากคุณ”