ไม่ใช่แค่การรวมตัวของช่างไฟ แต่คือการสร้างผลผลิตที่กลับไปยกระดับมาตรฐานวงการ ชุมชนช่างไฟชไนเดอร์ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างเครือข่าย แต่ได้แปรเปลี่ยนช่างไฟธรรมดาให้กลายเป็นวิทยากรและผู้สร้างมาตรฐานให้กับช่างไฟรุ่นใหม่ทั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนสังคมผ่านโครงการจิตอาสาที่ทำมากกว่าแค่งานไฟฟ้า
เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดผ่าน วรนุช รอดหลำ และ สุพัฒน์ เดชะบุญกำจร สองช่างไฟมือทองที่เป็นสมาชิกของชุมชนมาอย่างยาวนาน พวกเขาคือภาพสะท้อนความสำเร็จของโครงการที่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ หน้าร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่เติบโตจนกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนวิชาชีพช่างไฟของไทย
สู่การเป็นวิทยากร: ผลผลิตที่ยั่งยืนที่สุดของชุมชน
หัวใจสำคัญที่ทำให้ชุมชนนี้เติบโตอย่างยั่งยืนอาจไม่ใช่แค่การรวมตัวกัน แต่คือการที่ชไนเดอร์สามารถผลักดันช่างไฟในชุมชน จากที่เป็นเพียงผู้ประกอบอาชีพธรรมดาให้กลายเป็นวิทยากรที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ
คุณวรนุช เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่าชไนเดอร์ได้เปลี่ยนช่างไฟทั่วไปให้สามารถก้าวไปยืนในฐานะผู้สอนและกรรมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติได้ “เราคือผลผลิตของชไนเดอร์” เธอกล่าว “ทุกวันนี้ วิทยากรและกรรมการที่ไปเปิดอบรมและทดสอบช่างไฟรุ่นใหม่ ๆ หลายร้อยคนต่อปี ล้วนเป็นผลผลิตที่มาจากบ้านชไนเดอร์ทั้งนั้น”
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่าการขายสินค้า แต่คือการสร้างบุคลากรคุณภาพที่เข้าใจในมาตรฐานความปลอดภัยอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาไปสอนก็จะนำความรู้และแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานไปสู่ช่างไฟรุ่นน้อง เป็นการยกระดับวงการทั้งระบบจากรากฐาน
จุดเริ่มต้น: จากข้อบังคับกฎหมาย สู่การสร้างครอบครัว
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2558-2559 กฎหมายกำหนดให้ช่างไฟฟ้าต้องมีใบรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงาน หากไม่มีจะถูกปรับเป็นเงิน 5,000 บาท นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ชไนเดอร์มองเห็นโอกาสในการเข้ามาสนับสนุนและยกระดับช่างไฟไทย
คุณวรนุช ซึ่งเป็นสมาชิกรุ่นที่ 5 เล่าว่า เธอและช่างไฟคนอื่น ๆ เริ่มต้นจากการเห็นแผ่นพับประชาสัมพันธ์ของชไนเดอร์ที่ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือในการส่งสอบเพื่อให้ได้ใบรับรองที่ถูกต้องตามกฎหมาย โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถสร้างช่างไฟที่ได้มาตรฐานจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้มากถึง 3,000 คนทั่วประเทศภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนสถานะจากลูกค้า มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวชไนเดอร์ ที่มีความสัมพันธ์อันดีงามและช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาจนถึงปัจจุบัน
Digital Transformation: แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ช่างไฟยุคใหม่
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้ชุมชนแข็งแกร่งและก้าวทันโลก คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ผ่านแอปพลิเคชันสำหรับช่างไฟโดยเฉพาะ ซึ่งสร้างประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในหลายมิติ
คุณสุพัฒน์ ชี้ว่าแอปนี้เปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญเวลาต้องไปทำงานนอกพื้นที่หรือต่างจังหวัด เพราะสามารถค้นหาร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของชไนเดอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ทันที หมดปัญหาการตระเวนหาอย่างไร้จุดหมาย
ช่างไฟสามารถรู้ข้อมูลสินค้าใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วผ่านแอป เช่น EV Charger ซึ่งเป็นสินค้าที่ยังไม่แพร่หลายในร้านค้าทั่วไป ทำให้พวกเขานำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้ก่อนใคร
ชุมชนได้เปลี่ยนผ่านจากการสะสมแต้มแบบดั้งเดิม ที่ต้อง ตัดฝากล่องส่งไปรษณีย์ ซึ่งใช้เวลานานหลายเดือน มาสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว ปัจจุบันช่างไฟเพียงแค่สแกน QR Code จากสติกเกอร์บนผลิตภัณฑ์ ก็สามารถสะสมคะแนนและแลกของรางวัลเป็น e-Coupon ผ่านแอปพลิเคชัน LINE ได้ทันที ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่าอย่างเทียบไม่ติด
หัวใจจิตอาสา: เมื่อช่างไฟเป็นได้มากกว่าช่างไฟ
สิ่งที่หล่อหลอมให้ชุมชนเป็นมากกว่าเครือข่ายทางธุรกิจ คือ โครงการจิตอาสาที่สมาชิกจะรวมพลังกันไปช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น การเดินระบบไฟฟ้าใหม่ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล
คุณสุพัฒน์ เล่าถึงความประทับใจในโครงการที่วัดหนองเพรางาย จังหวัดนนทบุรี ซึ่งทีมช่างไฟกว่าร้อยชีวิตสามารถรวมพลังกันทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ภายในเวลาไม่กี่วัน และยังเป็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายเพื่อนช่างใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยเหลือกันในงานอื่น ๆ ต่อไปได้
ขณะที่คุณวรนุช ยกให้โครงการที่โรงเรียนบ้านสาลี เป็นโครงการที่ประทับใจที่สุด เพราะที่นั่นช่างไฟไม่ได้เป็นแค่ช่างไฟ แต่ยังช่วยกันทำประตูไม้ เปลี่ยนหลังคา และทำงานซ่อมแซมทุกอย่างเท่าที่ทำได้ “เราเป็นได้ทุกอย่างให้คุณทุกอย่างแล้ว” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม และเสริมว่าทุกโครงการจิตอาสานั้น “น้ำตาไหลทุกครั้ง ทั้งผู้ให้และผู้รับ”
ท้ายที่สุด ชุมชนช่างไฟชไนเดอร์ได้สร้างนิยามใหม่ให้คำว่า “ช่างไฟ” ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่งานเทคนิค แต่คือการเป็นผู้สร้างมาตรฐาน ผู้แบ่งปันความรู้ และผู้มีหัวใจจิตอาสา นี่คือมรดกที่แท้จริงที่พวกเขาไม่ได้ทิ้งไว้แค่ในงานติดตั้งระบบไฟฟ้า แต่ฝากไว้ในตัวบุคลากรคุณภาพที่จะขับเคลื่อนสังคมต่อไป
