TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyMitsubishi Electric ร่วมกับ อีอีซี ปลดล็อกอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติ

Mitsubishi Electric ร่วมกับ อีอีซี ปลดล็อกอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติ

Mitsubishi Electric ร่วมกับ อีอีซี พร้อมทั้งพันธมิตรเครือข่ายระบบนิเวศไทย-ญี่ปุ่น เดินหน้าพัฒนาสู่โรงงานอัจฉริยะกว่า 10,000 แห่ง พัฒนาทักษะบุคลากร 50,000 คน เกิดการลงทุนไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทใน 3 ปี

ยกระดับอีอีซี สู่พื้นที่ลงทุนนวัตกรรมขั้นสูง เสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ และคุณภาพชีวิตคนไทย พร้อมตั้งเป้าก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน Digitalizing and Decarbonizing เพื่อให้ธุรกิจเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และบรรลุเป้าความสำเร็จเชิงรูปธรรมตามนโยบาย Industry Thailand 4.0 ของรัฐบาลไทยได้เร็วขึ้น

ความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย โดยมีอีอีซีเป็นสะพานเชื่อมและสนับสนุนการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศ ในโอกาสครบรอบ 135 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และครบรอบ 10 ปี หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่น ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสู่อนาคต ทั้งความเชื่อมโยงด้าน Supply Chain การร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG สร้างสังคมสีเขียว ลดปล่อยก๊าซคาร์บอน (Decarbonization) และรวมถึงการส่งเสริมการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัล (Digitization) เพื่อมุ่งสู่การค้า การลงทุน และการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ตลอดจนการร่วมมือด้านสาธารณสุข

หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่น

ด้าน นาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยประมาณ 6,000 บริษัท ซึ่งการลงทุนของบริษัทต่างชาติในประเทศไทยนั้น ญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์ทั้งด้านปริมาณการลงทุนและมูลค่าการลงทุน

อุตสาหกรรมการผลิตคิดเป็นสัดส่วนราว 40% จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจของบริษัทไทยและบริษัทญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิต โดยเน้นอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก โดยมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เป็นเวทีสำคัญของการพัฒนา

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตกำลังก้าวเข้าสู่รูปแบบใหม่ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบ “Digital” และ “Green” ด้วยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) มาใช้ในหน้างานผลิต เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตแบบก้าวกระโดด และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในด้านการตลาด จะช่วยขยายห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิต โดยคำนึงถึงธุรกิจแบบ “B to B to C” ด้วย

ดังนั้น องค์ความรู้ของบริษัทญี่ปุ่น ด้าน Factory Automation ใน “EEC Automation Park” ณ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งจัดตั้งโดยบริษัท Mitsubishi Electric ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และภาครัฐของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นพร้อมจะสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี พ.ศ.2593 และจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ.2608 โดยให้ความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยความเชี่ยวชาญพิเศษในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตรถยนต์ของประเทศญี่ปุ่นได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ เช่น รถไฮบริด (HV) หรือ อีโคคาร์ ให้เป็นที่นิยมแพร่หลาย ในด้านแบตเตอรี่ EV ผู้ผลิตญี่ปุ่นก็คงจะช่วยนำพาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้ขับเคลื่อนไปเช่นกัน

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีผู้เล่นที่มีความศักยภาพสูงอยู่มากมายในด้านพลังงานขั้นสูง เช่น ไฮโดรเจน เชื้อเพลิงแอมโมเนีย CCS ฯลฯ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นด้าน “Digital” และ “Green” ซึ่งในเร็ว ๆ นี้ ภาคเอกชนจะย้ายเข้าสู่ระยะลงมือปฏิบัติในฐานการผลิตที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และคงจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แน่นอน

นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้เสนอ “Asia Japan Investing for Future”หรือ “AJIF (เอจีฟ)” ถือเป็นนโยบายหลักของนโยบายเศรษฐกิจเอเชียของญี่ปุ่น ซึ่งมีคีย์เวิร์ด คือ “การร่วมคิดสร้าง” (Co-Creation) ได้แก่  1) เผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาสังคมที่อีกประเทศกำลังประสบอยู่ และนำเสนอแนวทางแก้ไขที่เห็นผลได้จริง 2) ภาครัฐและเอกชนจับมือกัน ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมของภาคเอกชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน 3) ร่วมคิดสร้างอนาคตของภูมิภาค ผ่านการร่วมมือกับบริษัทของประเทศพันธมิตร โดยมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยผนึกกำลังเสริมจุดอ่อนจุดแข็งของกันและกันอย่างเท่าเทียมกัน

ขณะที่ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ อีอีซี) กล่าวว่า อีอีซี ได้พัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่น ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานและภาคเอกชนญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง และต่อยอดความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งของภาคเอกชนญี่ปุ่นในพื้นที่อีอีซี ที่มีมาอย่างยาวนาน เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เชื่อมโยงด้านการผลิต (Supply Chain) ร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว BCG1 ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล และความร่วมมือด้านสาธารณสุขผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งกรอบความร่วมมือพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาค เช่น

กรอบความร่วมมือแม่โขง-ญี่ปุ่น และประสบผลสำเร็จในความร่วมมือกับ Mitsubishi Electric พร้อมพันธมิตรเครือข่าย ซึ่งได้พัฒนา EEC Automation Park ให้เป็นฐานหลักขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้ระบบหุ่นยนต์และออโตเมชัน สร้างความเชื่อมโยงให้ภาคอุตสาหกรรมไทยปรับตัวไปสู่โรงงานอัจฉริยะ หรือ Smart Factory ใช้นวัตกรรมนำการผลิต พัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรม 4.0 ในพื้นที่อีอีซี

รวมทั้งได้ร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และ หอการค้าญี่ปุนกรุงเทพ (JCC) ชักจูงนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนและผลักดันการใช้ระบบหุ่นยนต์และออโตเมชัน ซึ่งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) คาดว่าภายใน 3 ปีจากนี้ การลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัล จะมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุน 5G ระบบหุ่นยนต์ออโตเมชัน ในอีอีซี ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงานรายได้ให้คนไทย และสนับสนุนให้ภาคการผลิตของไทย มีขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ทัดเทียมทั่วโลก

ตั้งเป้าหมายภายในปีนี้จะนำโรงงานอุตสาหกรรมในอีอีซี ทำงานร่วมกับธุรกิจที่ให้บริการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายและเทคโนโลยี (System Integrators) หรือ SI พร้อมสนับสนุนให้เข้าสู่ระบบออโตเมชัน ไม่น้อยกว่า 200 แห่ง และภายใน 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568) ไม่น้อยกว่า 6,000 แห่ง

คาดว่าไม่เกิน 5 ปี จะสามารถปรับสู่โรงงานอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง Digital Manufacturing 4.0 ได้ไม่น้อยกว่า 10,000 โรงงาน ช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง ลดอัตราการเสื่อมของเครื่องจักร ลดภาระงาน ช่วยประหยัดพลังงาน ยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก สร้างรายได้ให้แรงงานไทย ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างยั่งยืน 

นอกเหนือจากความร่วมมือเพื่อพัฒนาสู่ระบบอุตสาหกรรมแบบดิจิทัล ออโตเมชัน แล้ว ไทยและญี่ปุ่นยังได้ร่วมกันวางเป้าหมายเพื่อให้ อีอีซี เป็นพื้นที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของภาคอุตสาหกรรมแห่งแรกในภูมิภาค

โดย อัทสึชิ  ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กล่าวว่า ที่ผ่านมา JETRO ได้สนับสนุนโครงการ “Robot Automation Project” และให้การสนับสนุนรูปแบบต่าง ๆ เช่น “โครงการสนับสนุนการเพิ่ม supply chain ในต่างประเทศ ASEAN-JAPAN” และ “โครงการพัฒนาบุคลากร” ด้วย รวมทั้งใน “โครงการ Asia DX” โครงการนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทญี่ปุ่นกับอาเซียน มีโครงการจากประเทศไทยได้รับเลือก 9 รายซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในอาเซียน

e-F@ctory และ EEC Automation Park 

ทั้งนี้ในส่วนของ Mitsubishi Electric ที่ริเริ่มแนวคิด e-F@ctory (Industry 4.0 + 5G model line) และร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรก่อตั้ง EEC Automation Park ณ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้และพัฒนากำลังคนด้านออโตเมชันและหุ่นยนต์ เสริมสร้างทักษะเพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิตในประเทศไทยให้ก้าวสู่โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) โดยเป็นแหล่งรวมเครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาและเรียนรู้ระบบสายการผลิตอัตโนมัติแบบดิจิทัล (IoT) และการใช้เทคโนโลยี 5G อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางเครือข่ายในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะความชำนาญด้านออโตเมชันให้แก่บุคลากรที่จะเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมมากกว่า 25 หลักสูตร

โคทานิ โทโมอากิ ผู้บริหารระดับสูง รองประธานกลุ่ม Factory Automation Systems บริษัท Mitsubishi Electric Corporation กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการผลิตได้ปรับเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัลไปทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Mitsubishi Electric ที่สนับสนุนระบบการผลิตตามแนวทาง “e-F@ctory” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ซึ่งใช้ระบบอัตโนมัติ (FA) และระบบสารสนเทศ (IT) ในโรงงาน เพื่อแก้ปัญหา และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตทั้งหมดของลูกค้ามากกว่า 40,000 เคสทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรเครือข่ายความร่วมมือ e-F@ctory Alliance Partner Association โดยประมาณ 1,050 บริษัททั่วโลก ครอบคลุมอาเซียน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินเดีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา และก่อตั้งพันธมิตรในประเทศไทยในปี พ.ศ2562 ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกราว 60 บริษัท และนำโซลูชัน  SMKL (Smart Manufacturing Kaizen Level) เป็นแผนการจัดการโรงงานว่าควรใช้ระบบ IoT ในโรงงานถึงระดับไหน พร้อมให้การสนับสนุนด้านความรู้และเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการรายใหม่ที่สนใจเรื่องระบบอัตโนมัติ 

Mitsubishi Electric เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่มีข้อเสนอโซลูชันในด้านนี้ครบวงจร ที่รวมซอฟต์แวร์ SCADA ที่สามารถตรวจสอบจำนวนพลังงานที่โรงงานและอุปกรณ์การผลิตใช้ รวมถึงปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมา และแอปพลิเคชันสนับสนุนการประหยัดพลังงาน (Eco Advisor) เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งได้รับการประเมินอย่างสูงในการประกวด “Carbon Neutral” ของผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป

ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยได้กำหนดรูปแบบยุทธศาสตร์ระดับชาติใหม่ “แบบจำลองเศรษฐกิจ BCG” เพื่อให้เกิดภาวะคาร์บอนเป็นกลางในปี พ.ศ.2593 Mitsubishi Electric จึงพร้อมสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมตระหนักถึงความเป็นกลางของคาร์บอนในประเทศไทย เพิ่มเติมจากบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรด้านดิจิทัลเพื่อให้พร้อมเดินหน้าสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

วิเชียร งามสุขเกษมศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชัน (ประเทศไทย) จำกัด ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ e-F@ctory ในประเทศไทย กล่าวว่า ศูนย์ EEC Automation Park จะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ อีอีซี ในการขับเคลื่อน และยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตของไทย  Mitsubishi Electric เอง มีเป้าหมายภายใน 2 – 3 ปีนี้ ที่จะเดินหน้าพัฒนาโรงงานให้เป็นโรงงานอัจฉริยะ กว่า 200 แห่ง และยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอนาคตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

อีอีซี ยังได้ร่วมกับกรมสรรพากร ผลักดันให้ EEC Automation Park และ FIBO เป็นศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนในการบริจาคและหักภาษีได้สูงสุด 100 ล้านบาท และภายในปี 2565 คาดว่าจะสามารถขยายศูนย์ส่งเสริมฯ ได้อีก 2 แห่ง รวมทั้งขยายผลความร่วมมือกับ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำข้อตกลง “ปฏิญญาวัดไตรมิตร” เพื่อร่วมกันเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาบุคลากรให้ได้ตามเป้าโดยเร็ว

งาน EEC Connecting Thailand and Japan Collaboration 2022 จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแถลงความสำเร็จของการดำเนินงานที่ผ่านมา พร้อมรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ความร่วมมือในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในประเทศไทยของเครือข่ายที่รับผิดชอบ อาทิ ความพร้อมในการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระบบการผลิตอัจฉริยะ ความพร้อมของ EEC Automation Park และเครือข่ายในการเป็นศูนย์กลางนำร่องขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรม 4.0 และความพร้อมด้านหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรของคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC-HDC) ในการปรับปรุงทักษะความรู้ความชำนาญในระบบออโตเมชัน

นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญ คือ การแบ่งปันการพัฒนา e-F@ctory โซลูชัน ให้กับอุตสาหกรรมทั้งองค์กรขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ตลอดจนสิทธิประโยชน์ และข้อจูงใจต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับเปลี่ยนสู่ระบบการผลิตแบบดิจิทัล รวมถึงโชว์เคสโซลูชันเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเทคโนโลยี Industry 4.0 + 5G ภายในงาน

BCG โมเดล เป็นโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตแบบก้าวกระโดด กระจายโอกาส กระจายรายได้ ที่จะนำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน ประกอบด้วย 3 เศรษฐกิจหลัก คือ B : Bio Economy ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เชื่อมโยงกับ C : Circular Economy ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และสอดรับกับ G : Green Economy ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหามลพิษ เพื่อลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ