TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyลอรีอัล เชิดชูหญิงไทย มอบ 3 ทุนวิจัยแก่นักวิจัยหญิงด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

ลอรีอัล เชิดชูหญิงไทย มอบ 3 ทุนวิจัยแก่นักวิจัยหญิงด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

ลอรีอัล ประเทศไทย เดินหน้าสนับสนุนสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์ ประกาศรายชื่อ 3 นักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2565 มอบทุนวิจัย 250,000 บาทพร้อมโล่เกียรติคุณ ให้แก่นักวิจัยสตรีที่มีผลงานโดดเด่นและสร้างประโยชน์ต่อสังคมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

แพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ลอรีอัล เล็งเห็นความสำคัญของการสนับสนุนพื้นที่ของสตรีในแวดวงวิทยาศาสตร์ เพราะเชื่อว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี โดยเฉพาะในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งผู้หญิงยังคงประสบความยากลำบากในการศึกษาและการประกอบอาชีพในสายงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ดังปรากฏในผลการวิจัยของ Catalyst

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยนับว่ามีพัฒนาการโดดเด่นด้วยสัดส่วนนักวิจัยหญิงสูงถึง 53% ข้อมูลนี้เน้นย้ำความสำเร็จของการผลักดันความเท่าเทียมทางเพศในแวดวงวิทยาศาสตร์ และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของความสามารถนักวิจัยสตรีไทยที่ไม่เป็นรองใคร กลุ่มสตรีเหล่านี้เพียงต้องการการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ให้มีโอกาสได้นำเสนอผลงานและได้มีพื้นที่ยืนในสายงาน โดยเป็นเวลากว่า 20 ปีมาแล้วที่ลอรีอัล ประเทศไทย ได้มอบทุนสนับสนุนนักวิจัยสตรีไทยอย่างต่อเนื่อง เรายังมุ่งมั่นจะเดินหน้ามอบการสนับสนุนแก่นักวิจัยสตรีไทยต่อไป เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้วงการวิทยาศาสตร์ไทย รวมถึงผลักดันให้นักวิจัยสตรีไทยได้มีโอกาสเปล่งประกายบนเวทีโลก”

นักวิจัยสตรี 3 ท่าน จาก 3 สถาบัน ในสองสาขา

สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ

  1. รองศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์ชนก บัวเพชร จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับงานวิจัยหัวข้อ “การบูรณาการคุณลักษณะทางนิเวศสรีรวิทยาของหญ้าทะเล เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศและความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน”

สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ

  1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์ จากสำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาวัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ เพื่อการใช้งานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม”
  2. ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับงานวิจัยหัวข้อ “บูรณาการระเบียบวิธีศึกษาทางทฤษฎีเพื่อพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์และวัสดุขั้นสูงสำหรับโรงกลั่นชีวภาพและสิ่งแวดล้อม”

3 นักวิจัยสตรีผู้มีผลงานอันโดดเด่นที่ได้รับทุนโครงการฯ ประจำปี 2565

รองศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์ชนก บัวเพชร จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า “ระบบนิเวศหญ้าทะเลเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ จัดเป็นหนึ่งในระบบนิเวศคาร์บอนสีน้ำเงิน ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แหล่งหญ้าทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กักเก็บคาร์บอนได้สูงสุด 6.8 เทระกรัมต่อปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุดถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทว่าปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ประเทศไทยมีโครงการฟื้นฟูหญ้าทะเลมากว่า 20 ปี แต่ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมและติดตามระยะยาวอย่างเป็นระบบ

งานวิจัยนี้นับเป็นโครงการแรกในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บูรณาการองค์ความรู้ด้านนิเวศสรีรวิทยาเพื่อเพิ่มความสำเร็จในการฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเล ทีมผู้วิจัยเลือกศึกษาพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์และแหล่งหญ้าทะเลที่มีโครงการฟื้นฟู โดยมุ่งเน้นศึกษาหญ้าคาทะเล ซึ่งมีศักยภาพกักเก็บคาร์บอนสูงและเป็นชนิดหลักที่ใช้ฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลในประเทศไทย

ผลการศึกษาจากงานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนการฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเล ช่วยระบุสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รวมถึงปัจจัยคุกคาม เพื่อเพิ่มโอกาสและความสำเร็จในการฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเล นำไปสู่การลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และเป็นแนวทางในการจัดการทรัพยากรหญ้าทะเล เพื่อส่งเสริมศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนต่อไป นอกจากนี้ ทีมผู้วิจัยยังเล็งเห็นว่าการฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเลยังเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ได้รับความสนใจทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เพราะไม่เพียงจะเพิ่มศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่ชายฝั่ง แต่ยังนำไปสู่การเพิ่มแหล่งที่อยู่ของสัตว์ทะเล การรักษาระดับธาตุอาหารในน้ำ และการลดการกัดเซาะชายฝั่งได้อีกด้วย งานวิจัยนี้จึงจะเป็นประโยชน์ต่อแวดวงวิชาการระดับนานาชาติ สามารถนำไปต่อยอดการฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่อื่นๆ ได้เช่นกัน”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์ จากสำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า “การปนเปื้อนของโลหะหนักและสารอินทรีย์ที่ระเหยง่าย คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ งานวิจัยนี้ศึกษาวิธีดูดซับโลหะหนักที่มักพบปนเปื้อนในแหล่งน้ำ แหล่งปิโตรเลียม และน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม โดยจะลงลึกเรื่องการพัฒนาวัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ (Metal-organic framework, MOF) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีรูพรุนจากการเชื่อมต่อกันของกลุ่มโลหะ (Metal cluster) และโมเลกุลสารอินทรีย์ (Organic cluster) ให้สามารถปรับเปลี่ยนส่วนประกอบและโครงสร้างได้หลากหลาย เพื่อควบคุมหรือเพิ่มคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ให้มีคุณสมบัติที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมได้

ปัจจุบันวัสดุดูดซับเป็นสิ่งที่ใช้อยู่อย่างแพร่หลายทั้งในชีวิตประจำวันและในภาคอุตสาหกรรม แต่วัสดุดูดซับคุณภาพสูงที่ใช้กำจัดโลหะหนักหรือสารอินทรีย์ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ มักนำเข้าจากต่างประเทศและค่าใช้จ่ายสูง แม้มีการศึกษาวิจัยและใช้งานวัสดุ MOF อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ แต่ในไทยยังไม่พบการศึกษาอย่างกว้างขวางนัก งานวิจัยชิ้นนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดองค์ความรู้ความเข้าใจ ต่อความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างวัสดุและคุณสมบัติการดูดซับ และเป็นเสมือนการเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้อีกนับไม่ถ้วน ที่จะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งในชีวิตประจำวัน ในภาคอุตสาหกรรม และในระดับประเทศ

ทีมผู้วิจัยคำนึงถึงประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน คือเลือกพัฒนาวัสดุ MOF จากพลาสติกที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recycling PET plastic) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีอยู่ในประเทศ พร้อมทั้งพัฒนากระบวนการสังเคราะห์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างองค์ความรู้พื้นฐานใหม่ในประเทศ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ องค์ความรู้เหล่านี้จะสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาวัสดุ MOF สำหรับดูดซับสารชนิดอื่น หรือแม้กระทั่งพัฒนาวัสดุดูดซับชนิดอื่น ๆ ได้ และเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะมีบทบาทและความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต”

ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพสูง การผลิตสารเคมีชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มจากชีวมวลและของเหลือใช้ทางการเกษตรในโรงกลั่นชีวภาพ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างมูลค่าให้ทรัพยากรอย่างเต็มศักยภาพ งานวิจัยนี้ มุ่งเน้นบูรณาการระเบียบวิธีศึกษาทางทฤษฎี เพื่อพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์และวัสดุขั้นสูงที่ราคาเหมาะสม ใน 2 หัวข้อหลักด้วยกัน 1) เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์สารมูลค่าเพิ่มจากชีวมวลในโรงกลั่นชีวภาพ และ 2) เพื่อใช้ในการบำบัดก๊าซมลพิษ ได้แก่ ก๊าซเรือนกระจก NOx และ CO2 เป็นต้น รวมทั้งการสังเคราะห์สารเคมีมีมูลค่าจากก๊าซดังกล่าว

งานวิจัยนี้จะสร้างชุดความรู้ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจเชิงลึกต่อคุณสมบัติวัสดุและปัจจัยบ่งชี้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของวัสดุตามวัตถุประสงค์การใช้งาน นอกจากนี้ยังช่วยร่นเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ทดสอบวัสดุใหม่ ๆ ในห้องปฏิบัติการ ลดความเสี่ยงการสัมผัสสารพิษในห้องปฏิบัติการ สร้างประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโรงกลั่นชีวภาพ และขยายผลต่อยอดอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก เช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ การผลิตพลาสติกย่อยสลายได้ อุตสาหกรรมพลังงานทางเลือก อุตสาหกรรมยา เป็นต้น สอดคล้องกับแผนและนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศภายใต้โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) พ.ศ. 2564-2570 รวมทั้งอยู่ใต้แพลตฟอร์มตัวเร่งปฏิกิริยาระดับนาโน (Nanocatalysis platform) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (ศน.) มุ่งเน้นและพยายามผลักดันให้เกิดผลผลิตเป็นรูปธรรม โดยมีแผนขยายผลด้วยการศึกษาในระดับโรงงานต้นแบบ เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมต่อไป”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล ยื่นหนังสือไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของ กกท. ประเด็นการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2022

PTT DIGITAL กับ STT GDC THAILAND ศึกษาพลังงานเย็น ระบายความร้อนในดาต้าเซ็นเตอร์

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ