นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการเกษตรไทย เมื่อ ‘ไปรษณีย์ไทย’ รัฐวิสาหกิจด้านการสื่อสารและโลจิสติกส์ของชาติ ได้ผนึกกำลังกับ ‘กรมประมง’ หน่วยงานหลักที่ดูแลภาคการประมงของประเทศ ลงนามในบันทึกความตกลง (MOU) ความร่วมมือโครงการส่งเสริมสัตว์น้ำสวยงามไทยไปต่างประเทศ ซึ่งเบื้องหลังความร่วมมือนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การเปิดบริการขนส่งใหม่ แต่คือการ “ปลดล็อก” ศักยภาพและสร้างโอกาสให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงรายย่อย สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ และเชื่อมต่อกับตลาดโลกได้โดยตรง
จากปลาในบ่อสู่ตลาดโลก: ภาพใหญ่ที่มากกว่าแค่การส่งออก
ตลาดสัตว์น้ำสวยงามของโลกนั้นมีขนาดใหญ่กว่าที่คิด โดยมีมูลค่าการค้าขายรวมกันกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพในการผลิตปลาสวยงามคุณภาพสูง สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกได้กว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีพระเอกคือ “ปลากัด” ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ที่เพียงชนิดเดียวก็สามารถสร้างมูลค่าได้ถึงปีละ 400 ล้านบาท นอกจากปลากัดแล้ว ยังมีปลาสวยงามอีกหลายชนิดที่มีศักยภาพ เช่น ปลาสอด ปลาเงินปลาทอง และปลาก้างพระร่วง
กระแสความนิยมปลาสวยงามไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในต่างประเทศ แต่ยังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไทย ดังที่ บัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ยกตัวอย่างจากงาน “ประมงน้อมเกล้าฯ” ที่ค่าผ่านประตูในปีที่แล้วพุ่งสูงขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาท จากเดิมที่เคยเก็บได้ราว 8 แสนบาทต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศที่ผ่านมามักกระจุกตัวอยู่กับฟาร์มขนาดใหญ่ เกษตรกรรายย่อยซึ่งมีจำนวนกว่าหมื่นรายที่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมง มักต้องขายสินค้าผ่านพ่อค้าคนกลางหรือฟาร์มใหญ่ ทำให้มูลค่าที่ควรจะได้รับหายไปหลายทอด ความร่วมมือครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อทลายกำแพงดังกล่าว โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยโดยตรง
ไปรษณีย์ไทย: คำตอบสำหรับ “น้องจะไม่ตุยใช่ไหม?”

คำถามสำคัญที่หลายคนกังวลคือ ปลาซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตจะรอดจากการเดินทางไกลหรือไม่? พิษณุ วานิชผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ให้ความมั่นใจว่า ไปรษณีย์ไทยได้วางระบบที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “Parcel-defined logistics” ซึ่งเป็นการออกแบบระบบขนส่งให้เหมาะสมกับสินค้าแต่ละประเภทโดยเฉพาะ สำหรับการส่งปลาสวยงามนั้น จะดำเนินการภายใต้มาตรฐานการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ มีระบบติดตามสถานะ และระยะเวลาที่ใช้ในการขนส่งนั้นสั้นกว่าขีดความสามารถที่ปลาจะอยู่รอดในภาชนะบรรจุได้มากนัก
ที่น่าสนใจคือโมเดลธุรกิจใหม่ที่เกษตรกรจะได้รับประโยชน์สูงสุด จากเดิมที่ต้องขายส่งให้พ่อค้าคนกลาง ตอนนี้เกษตรกรสามารถใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ขายปลาของตนเองสู่ตลาดโลกได้โดยตรง “สามารถถ่ายรูปทีละตัว” เพื่อขายปลาที่มีลักษณะเฉพาะตัวในราคาที่แตกต่างกันได้
แม้ไปรษณีย์ไทยจะประเมินรายได้จากธุรกิจนี้ไว้ที่ราว 40-50 ล้านบาทต่อปี แต่คุณพิษณุเน้นย้ำว่าไม่ใช่ประเด็นหลัก หัวใจสำคัญคือการทำภารกิจในฐานะเครือข่ายไปรษณีย์ของชาติ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้เติบโต
กรมประมง: พี่เลี้ยงผู้สร้างมาตรฐานและขจัดอุปสรรค
ในฝั่งของกรมประมงจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยเริ่มต้นจากการอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรมาขึ้นทะเบียน รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านมาตรฐานต่าง ๆ เช่น GAP (Good Agricultural Practices) เพื่อให้สินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับสากล คุณบัญชา สุขแก้ว ยืนยันว่ากรมประมงพร้อมที่จะขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ “ส่งออกง่าย” สร้างรายได้เข้าประเทศ
ความร่วมมือนี้ต่อยอดมาจากความสำเร็จในการขนส่งปลาสวยงามในประเทศที่ได้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2566 โดยคุณบัญชากล่าวเสริมว่า แม้เอกสาร MOU จะเพิ่งลงนาม แต่ความร่วมมือในทางปฏิบัติถือเป็นสัญญาทาใจที่ทั้งสองหน่วยงานได้หารือและดำเนินการร่วมกันมาเป็นระยะแล้ว
เฟสแรก: ปักหมุด 5 ตลาดหลักเริ่ม 1 ตุลาคมนี้
โครงการนี้จะเริ่มต้นให้บริการในวันที่ 1 ตุลาคม โดยมุ่งเน้นไปที่ 5 ประเทศที่เป็นตลาดหลักของปลาสวยงามไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ และมีแผนที่จะขยายไปยังตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ ในอนาคต เช่น ออสเตรเลีย การดำเนินงานจะเริ่มต้นจากจังหวัดนครปฐมเป็นพื้นที่นำร่อง ก่อนขยายผลไปยังแหล่งเพาะเลี้ยงสำคัญอื่น ๆ เช่น ราชบุรี และสุพรรณบุรี
ความร่วมมือระหว่างไปรษณีย์ไทยและกรมประมงในครั้งนี้ คือการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของชาติเข้ากับนโยบายส่งเสริมภาคเกษตรกรรม เพื่อสร้างประโยชน์ให้เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยได้แสดงศักยภาพ และนำความภาคภูมิใจของชาติอย่าง “ปลากัดไทย” ไปเฉิดฉายในตลาดโลกด้วยมือของพวกเขาเองอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
DATA FARM: ปฏิวัติเกษตรไทยด้วยข้อมูล
MarTech x AI: เมื่อเทคโนโลยีต้องขับเคลื่อนด้วย ‘คน’ เบื้องหลังกลยุทธ์การตลาดแห่งอนาคต